นาวาอากาศเอก จงเจต วัชรานันท์ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า จากข้อห่วงใยและประเด็นคำถามในสังคมที่เกี่ยวข้องกับ การปล่อยตัวเชลยศึก การถอนอาวุธหนัก และการเก็บกู้วัตถุระเบิดในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา กองบัญชาการกองทัพไทยขอชี้แจงว่า
การปล่อยตัวเชลยศึกจะดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อ "สิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ต่อกัน” และต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ซึ่งการสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อไทย-กัมพูชา ดำเนินการใน 2 เรื่องนี้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว คือ
1. การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน
กองทัพทั้ง 2 ประเทศจะต้องดำเนินการถอนอาวุธหนักออกจนครบ 100% ตามข้อตกลง ทั้ง 3 ประเภทหลัก ได้แก่ เครื่องยิงจรวด ปืนใหญ่ และรถถัง ภายใต้การสังเกตการณ์ของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนจำนวน 5 พื้นที่จากทั้งหมด 13 พื้นที่ โดยไม่มีการขัดขวางจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ได้แก่
- บ้านสายโท 10 ใต้ จังหวัดบุรีรัมย์
- พื้นที่ช่องเหว จังหวัดสุรินทร์
- บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว
- บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว
- บ้านชำราก จังหวัดตราด
ทั้งนี้ หลังจากถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนแล้ว การปฏิบัติในแต่ละพื้นที่จะเป็นไปในลักษณะ "ตัวต่อตัว" ระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ซึ่งกองทัพไทยยังคงมีความพร้อมเต็ม 100% ในการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของพื้นที่ชายแดน หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเหตุไม่คาดคิดขึ้น กองทัพไทยสามารถปฏิบัติการได้ทันที ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนและอธิปไตยของชาติอย่างสูงสุด
กองทัพไทยขอยืนยันว่า ทุกขั้นตอนของการปฏิบัติยึดมั่นในหลักสันติภาพ ความปลอดภัยของประชาชน และการธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติเป็นสำคัญ
กองทัพไทยพร้อมปฏิบัติภารกิจตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ และจะรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนคลายความกังวล กองทัพไทยขอย้ำว่า ยังคงรักษาความมั่นคงของพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะในมิติของ “เอกราชและอธิปไตยของไทย”


