สำนักวิจัยซูเปอร์โพล สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผยรายงานผลการสำรวจ เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "คนละครึ่งพลัส" จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,248 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา พบว่า เมื่อสอบถามความพึงพอใจต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คนละครึ่ง พลัส โดยรวม ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 69.5 อยู่ในกลุ่ม "พอใจสูงสุด" (Top-2 Box ระดับ 9–10 คะแนน) สะท้อนถึงความรู้สึกเชิงบวกต่อมาตรการดังกล่าวว่า มีประโยชน์ต่อการจับจ่ายใช้สอยและการหมุนเวียนเศรษฐกิจจริง ขณะที่ร้อยละ 22.1 แสดงความพึงพอใจในระดับปานกลาง และมีเพียงร้อยละ 8.4 เท่านั้นที่ระบุว่าไม่พึงพอใจ
ที่น่าสนใจคือ เมื่อจำแนกความพึงพอใจต่อมาตรการคนละครึ่งพลัสตามภูมิภาค พบว่า ทุกภูมิภาคมีแนวโน้มความพึงพอใจในระดับสูง โดยเฉพาะภาคเหนือ มีสัดส่วนกลุ่มพอใจสูงสุดมากที่สุด ร้อยละ 73.8 รองลงมา คือ ภาคใต้ ร้อยละ 71.4 กรุงเทพฯ ร้อยละ 70.4 ภาคกลาง ร้อยละ 68.2 และ ภาคอีสาน ร้อยละ 68.1 ในขณะที่กลุ่ม "พอใจน้อยหรือไม่พึงพอใจ" มีสัดส่วนต่ำในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคเหนือซึ่งมีเพียงร้อยละ 4.7 เท่านั้น
ผลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า โครงการ "คนละครึ่ง พลัส" ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ และไม่มีช่องว่างของความเหลื่อมล้ำด้านความพึงพอใจเชิงพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อการบริหารนโยบายระดับชาติ
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาตามช่วงอายุ พบแนวโน้มที่น่าสนใจดังนี้ กลุ่ม Gen Y (29–44 ปี) มีความพึงพอใจสูงสุดที่ ร้อยละ 73.8 รองลงมาคือGen X (45–60 ปี) ร้อยละ 70.5 Baby Boomers (มากกว่า 60 ปี) ร้อยละ 68.9 และ Gen Z (ไม่เกิน 28 ปี) ร้อยละ 64.8 สอดคล้องกับลักษณะทางเศรษฐกิจของแต่ละวัย
โดยกลุ่มวัยทำงาน (Gen Y และ Gen X) มักเป็นผู้มีภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน จึงเห็นผลเชิงบวกจากการใช้สิทธิโครงการโดยตรง ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z) มีแนวโน้มใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจจริงน้อยกว่า จึงมีระดับความพึงพอใจที่ต่ำลงเล็กน้อย
รายงานของซูเปอร์โพลระบุ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 82.3 เห็นด้วยว่า มาตรการ "คนละครึ่ง พลัส" ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและร้านค้าชุมชนได้จริง มีเพียงร้อยละ 7.1 ที่ไม่เห็นด้วย และ ร้อยละ 10.6 ที่ยังไม่แน่ใจ ข้อมูลนี้สะท้อนชัดว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงประโยชน์เชิงรูปธรรมของนโยบาย โดยเฉพาะต่อร้านค้ารายย่อยและตลาดชุมชนที่ได้รับเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นในช่วงดำเนินมาตรการ
ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 52.7 ระบุว่า ต้องการให้ทำต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว อีกร้อยละ 38.7 เห็นว่าควรทำเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ส่วนร้อยละ 8.6 ที่ไม่ต้องการให้ทำต่อ เมื่อพิจารณาในเชิงดัชนีสนับสนุนนโยบาย พบว่ามีค่าบ่งชี้ว่าประชาชนมีความไว้วางใจและศรัทธาต่อแนวทางของรัฐในการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม
ผลการสำรวจในรายงานของซูเปอร์โพล ยังได้สะท้อนด้วยว่า มาตรการ "คนละครึ่ง พลัส" เป็นนโยบายที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในระดับสูงมาก ทั้งในด้านความพึงพอใจและผลต่อเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและพื้นที่ชนบทที่ได้รับประโยชน์โดยตรง
พร้อมชี้ให้เห็นว่า โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว แต่เป็นเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่น ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมฟื้นฟูกระตุ้นเศรษฐกิจของประชาชนทุกกลุ่มอีกด้วย


