สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 9 เรื่อง "ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา" โดยได้ผ่อนคลายพื้นที่ห้ามบินโดรนเหลือเฉพาะบางอำเภอใน 5 จังหวัดชายแดน มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
พื้นที่ที่ยังคงห้ามบินเด็ดขาด
• 5 จังหวัดชายแดนที่มีการวางกองกำลัง หรือพื้นที่ที่มีการปฏิบัติการ ได้แก่
- จังหวัดสระแก้ว อำเภอคลองหาด อำเภออรัญประเทศ อำเภอโคกสูง และอำเภอตาพระยา
- จังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอละหานทราย และอำเภอบ้านกรวด
จังหวัดศรีสะเกษ อำเภอภูสิงห์ อำเภอขุนหาญ และอำเภอกันทรลักษ์
- จังหวัดสุรินทร์ อำเภอพนมดงรักษ์ อำเภอกาบเชิง อำเภอสังขะ และอำเภอบัวเชด
- จังหวัดอุบลราชธานี อำเภอเขมราฐ อำเภอนาดาล อำเภอโพธิ์ไทร อำเภอศรีเมืองใหม่ อำเภอโขงเจียม อำเภอสิรินธร อำเภอบุณฑริก อำเภอนาจะหลวย และอำเภอน้ำยืน
• พื้นที่รัศมี 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) รอบสนามบินที่กำหนด
• พื้นที่ที่หน่วยงานด้านความมั่นคงประกาศเพิ่มเติมเป็นการเฉพาะ
โดยมีเงื่อนไขในการทำการบิน ดังนี้
• ผู้ใช้งานต้องขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรนและโดรนกับ CAAT ให้ถูกต้องครบถ้วน
• ยื่นคำขออนุญาตปฏิบัติการบินล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน ผ่านระบบแอปพลิเคชัน UAS Portal หรือ uasportal.caat.or.th
• ปฏิบัติการบินที่ความสูงไม่เกิน 90 เมตร (300 ฟุต) เหนือพื้นดิน
• สามารถบินได้ในเวลา 06.00–18.00 น. หากต้องการบินนอกช่วงเวลาดังกล่าว ต้องขออนุญาตจาก CAAT แต่ห้ามบินในช่วงเวลา 00.01–04.00 น. ทุกกรณี
• เมื่อได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติการบินแล้ว ก่อนการปฏิบัติการบินทุกครั้ง ให้ผู้ได้รับอนุญาตแจ้งข้อมูลพื้นที่ที่ปฏิบัติการบิน วันและเวลา และวัตถุประสงค์การปฏิบัติการบินต่อ CAAT ผ่านแอปพลิเคชัน UAS Portalและแจ้งต่อ ศบตอ.น. อีเมล : antidrone.police@gmail.com
• การปฏิบัติการบินที่แตกต่างจากเงื่อนไขที่กำหนด ต้องยื่นคำขออนุญาตและเอกสารเพิ่มเติมต่อ CAAT ผ่าน UAS Portal
CAAT ระบุว่า การออกประกาศฉบับที่ 9 เป็นผลจากการประเมินสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างใกล้ชิด ซึ่งได้มีการประสานข้อมูลเพื่อกำหนดพื้นที่ที่ยังคงจำเป็นต้องห้ามบินโดรนบางส่วนใน 5 จังหวัดชายแดน เนื่องจากยังมีการวางกำลังและปฏิบัติการด้านความมั่นคงอยู่ในบางพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้การใช้งานโดรนส่งผลกระทบต่อการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของประเทศ
ขณะเดียวกัน CAAT ยังคงคำนึงถึงการดำเนินชีวิตของประชาชนและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จึงผ่อนคลายพื้นที่ห้ามบินให้สามารถใช้งานโดรนของพลเรือนได้ในส่วนใหญ่ของประเทศ ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดที่รัดกุม พร้อมติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมประเมินปรับมาตรการให้เหมาะสมตามสภาพความมั่นคงในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้การใช้งานโดรนในประเทศไทยเป็นไปอย่างสมดุล ทั้งในด้านความปลอดภัย ความมั่นคง และการใช้เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ


