xs
xsm
sm
md
lg

ซูเปอร์โพล เผย ปชช.ไม่เชื่อมั่นผู้นำเขมร-ยังไม่พร้อมให้เปิดด่านชายแดนฯ ย้ำความมั่นคงมาก่อนเศรษฐกิจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง "เสียงประชาชนต่อการเปิดด่านไทย-กัมพูชา" จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวน 1,158 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 12 – 13 กันยายน 2568

ผลการสำรวจที่ค้นพบ สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนเห็นข้อดีของการเปิดด่านในหลายมิติ แต่ตัวเลขส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 50 ทั้งหมด โดยลำดับแรกคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน ได้รับการยอมรับมากที่สุด ที่ร้อยละ 38.9 รองลงมาคือ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ร้อยละ 33.4 และ การเสริมสร้างสันติภาพชายแดน ร้อยละ 32.8 ขณะที่แรงงานเข้าระบบถูกกฎหมายได้ ร้อยละ 24.5 และข้อดีอื่น ๆ เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัวไทย-กัมพูชา การศึกษา หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้เพียงร้อยละ 18.2 เท่านั้น ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ประชาชนมองเห็นผลเชิงบวกในหลายมิติ แต่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และไม่ได้มีน้ำหนักมากพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อการเปิดด่านได้อย่างชัดเจน

ที่น่าพิจารณาคือ ผลสำรวจแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ข้อเสียมีน้ำหนักสูงกว่าข้อดีในแทบทุกด้าน โดยร้อยละ 60.7 ของประชาชนระบุว่า การเปิดด่านจะทำร้ายจิตใจคนไทย ทำลายศักดิ์ศรี เพราะยังไม่พร้อมคืนดีหรือให้อภัยในประเด็นทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์สองประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ร้อยละ 57.8 กังวลว่าสินค้าราคาถูกจากกัมพูชาจะทะลักเข้าไทย ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบและเงินทุนไทยไหลออก

ในมิติความมั่นคง ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 56.9 ห่วงปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ไทยเคยเผชิญมาแล้ว ขณะที่ร้อยละ 48.1 แสดงความกังวลเรื่องโรคระบาดและสุขภาพประชาชน หากระบบสาธารณสุขชายแดนไม่พร้อม และร้อยละ 27.4 ระบุข้อเสียอื่น ๆ เช่น ภาระที่เพิ่มขึ้นต่อหน่วยงานรัฐ แรงงานผิดกฎหมาย และการลักลอบเข้าเมือง

ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการเปรียบเทียบโดยตรงระหว่างข้อดีและข้อเสียสะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.9 เห็นว่าข้อเสียมีมากกว่า ขณะที่เพียงร้อยละ 33.4 เชื่อว่าข้อดีมากกว่า และอีกร้อยละ 7.7 ไม่แน่ใจ ตัวเลขนี้ยืนยันชัดเจนว่า ภาพรวมของสังคมไทยมองว่าการเปิดด่านยังมีความเสี่ยงสูงกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับ

ที่น่าสนใจคือ ผลโพลย้ำให้เห็นถึงลำดับความสำคัญที่ประชาชนให้ความสำคัญ เปรียบเทียบให้เห็นระหว่าง ความมั่นคงของชาติ กับ การกระตุ้นเศรษฐกิจ พบว่า ร้อยละ 75.4 เห็นว่าความมั่นคงของชาติต้องมาก่อนการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเพียงร้อยละ 24.6 ที่เห็นว่าเศรษฐกิจควรมาก่อน ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่า แม้เศรษฐกิจจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ประชาชนไทยให้ความสำคัญกับความมั่นคงและศักดิ์ศรีของชาติ เป็นลำดับแรก

นอกจากนี้ ประชาชนร้อยละ 77.1 ระบุว่ามีความเชื่อมั่นน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลยต่อความจริงใจของผู้นำกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน ขณะที่มีเพียงร้อยละ 12.1 ที่เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด และร้อยละ 10.8 อยู่ในระดับปานกลาง ตัวเลขนี้ชี้ว่า ปัญหาความไว้วางใจต่อผู้นำประเทศ เป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การเปิดด่านถูกมองในเชิงลบมากกว่าบวก

ผู้ก่อตั้ง ซูเปอร์โพล กล่าวสรุปว่า ผลโพลนี้ทำให้เห็นชัดว่า ประชาชนเลือกความมั่นคงของชาติเป็นอันดับแรก และยังไม่เชื่อมั่นในกัมพูชา การเปิดด่านหากปราศจากมาตรการที่รัดกุม จะไม่เพียงแต่สร้างความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและความมั่นคง แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของสังคมไทยในรัฐบาลเองด้วย ข้อเสนอแนะที่น่าพิจารณา มีดังนี้

1. ชะลอการเปิดด่าน จนกว่าจะมีมาตรการและหลักประกันด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสาธารณสุขที่เข้มแข็ง เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน

2. สร้างเงื่อนไขเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาให้แสดงความจริงใจและความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม เช่น การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์และแรงงานผิดกฎหมาย ก่อนที่จะเปิดด่าน

3. เสริมกลไกการสื่อสารสาธารณะ ให้ประชาชนเห็นประโยชน์ที่เป็นจริง หากรัฐบาลมุ่งมั่นจะเดินหน้า พร้อมทั้งรับฟังเสียงสะท้อนของชุมชนชายแดนเป็นกลุ่มความต้องการพิเศษ

4. จัดลำดับความมั่นคงเป็นวาระแห่งชาติในหัวใจของประชาชน ควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้การดำเนินนโยบายใด ๆ ไม่กระทบต่อศักดิ์ศรีและความรู้สึกมั่นคงของคนไทย