xs
xsm
sm
md
lg

‘วัส ติงสมิตร’วิเคราะห์ปม สส.ยื่นศาล รธน.ฟัน‘อนุทิน-ณัฐพงษ์'

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า สส. เข้าชื่อยื่น "ศาล รธน." ฟัน "อนุทิน-ณัฐพงษ์" พ้นสมาชิกภาพ สส. ปมทำ MOA ยุบสภาแลกโหวตนายกฯ
-------
วันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2568) สื่อมวลชนรายงานข่าวว่า สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมกันเข้าชื่อร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพการเป็น สส. ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (7) ประกอบมาตรา 185 (1) และ (2) และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรประทับตรารับหนังสือเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 เวลา 11.38 น.

ผู้ร้องให้เหตุผลในการถอดถอนหัวหน้าพรรคทั้งสองออกจากการเป็น สส. ดังนี้

(1)ข้อตกลงของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนขัดต่อหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งโดยปกติแล้วรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินจะต้องมีเสียงข้างมากจาก สส. เพื่อสร้างความมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพในการบริหารการแผ่นดิน

(2) การกระทำของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน เพื่อให้นายอนุทินชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคภูมิใจไทยยินยอมหรือกระทำการอันทำให้พรรคประชาชนสามารถควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคภูมิใจไทย ในลักษณะที่ทำให้พรรคภูมิใจไทย และ สส. ของพรรคภูมิใจไทยขาดความเป็นอิสระ

ส่วนพรรคประชาชนก็กระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคภูมิใจไทย และ สส. ของพรรคภูมิใจไทยในลักษณะที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยและ สส. ของพรรคภูมิใจไทยขาดความเป็นอิสระเช่นกัน

การกระทำของทั้งสองพรรคการเมืองดังกล่าวถือได้ว่า เป็นการกระทำอันเป็นการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และเป็นการกระทำอันเป็น ปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

3) หากพรรคภูมิใจไทยได้จัดตั้งรัฐบาลแล้วต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่พรรคประชาชนกำหนด กรณีย่อมถือได้ว่า พรรคประชาชนโดย สส. ของพรรคประชาชนได้ใช้สถานะของการเป็น สส. อันมีลักษณะเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซง เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคประชาชน ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการของคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานของรัฐ ที่ต้องดำเนินการตามเงื่อนไขที่พรรคประชาชนกำหนด และดำเนินการต่างๆ ตามเงื่อนไขที่ตกลงนั้น ต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการ เช่น การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ การออกเสียงประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นต้น

จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 185 (1) และ (2) ของรัฐธรรมนูญ ทำให้สมาชิกภาพของการเป็น สส. สิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (7)

ผู้เขียนพิจารณาแล้ว มีความเห็นดังนี้

1)เหตุผลที่ สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสภาผู้แทนราษฎร ได้เข้าชื่อร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพการเป็น สส. ทั้งสองดังกล่าว มีเหตุผลมิใช่น้อย แต่การใช้ช่องทางกรณี สส. ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็น สส. กระทำการใด ๆ อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง (ตามมาตรา 185 ของรัฐธรรมนูญ) นั้น จะต้องเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซง (1) งานในหน้าที่ประจำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือ (2) กระทำการในลักษณะที่ทำให้ตนมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ หรือ (3) การบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือนหรือการให้พ้นจากตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐ

กรณีตามคำร้องน่าจะยังไม่เข้าข่ายที่จะร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ถอดถอนการเป็น สส. ได้ แต่ต้องไปร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อตรวจสอบแล้วเสนอเรื่องต่อศาลฎีกา หรือฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป (ตามมาตรา 235 ของรัฐธรรมนูญ)

2) เป็นที่น่าเสียดายว่า แม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติให้ สส. ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (เช่นเดียวกับ สว.) แต่รัฐธรรมนูญกลับไม่ได้บัญญัติว่า หากฝ่าฝืน ให้สามารถร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อถอดถอนจากการเป็น สส. ได้ เหมือนกับกรณี สว. ฝ่าฝืน ซึ่งสามารถร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ถอดถอนได้

3) กรณีนี้ สส. สามารถเข้าชื่อกันร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อส่งคำร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลง เพราะไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง (ตามมาตรา 170(4) ประกอบมาตรา 160(4) และ (5) ของรัฐธรรมนูญ) ได้ ครับ

วัส ติงสมิตร
นักวิชาการอิสระ
7/9/68