xs
xsm
sm
md
lg

วัดโพธิ์ชัย บ้านนาพึง ฮูปแต้มงามล้ำ โบราณสถานทรงคุณค่าแห่งเมืองนาแห้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เส้นทางถนนอันคดเคี้ยวรายล้อมด้วยพื้นที่เกษตรกรรมกับขุนเขาสลับซ้อนเขียวขจีของถนนด่านซ้าย-นาแห้ว มอบความรู้สึกให้ผู้มาเยือนสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบของ “อำเภอนาแห้ว” สุดเขตตะวันตกของจังหวัดเลย ซึ่งเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวของคนที่ชื่นชอบความงามของธรรมชาติ วิถีชีวิตชนบทน่ารักๆ และวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในอำเภอนาแห้ว มีทั้งความสวยงามของธรรมชาติอย่างอุทยานแห่งชาติภูสวนทราย, จุดชมวิวผาคอยนาง, ชมทะเลหมอกที่ภูค้อ ส่วนด้านวัฒนธรรม ก็มีวัดศรีโพธิ์ชัย บ้านแสงภา ซึ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะครึกครื้นไปด้วยงานประเพณีโบราณอย่างการแห่ต้นดอกไม้ที่มีชื่อเสียงเป็นอันซีนระดับประเทศ

บรรยากาศเขียวขจีที่ อ.นาแห้ว
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งสถานที่สำคัญประจำอำเภอนาแห้ว ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่อาจยังไม่คุ้นหูมากนัก คือ “วัดโพธิ์ชัย บ้านนาพึง” โบราณสถานล้ำค่าที่เก็บรักษาวัฒนธรรมความเชื่อท้องถิ่นไว้ ถือเป็นสถานที่ควรค่าแก่การไปเยือนสักครั้ง

พระประธานในวิหาร
ประวัติวัดโพธิ์ชัย
ข้อมูลจากสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น ระบุไว้โดยสันนิษฐานว่า วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2375 โดยประมาณ ชาวบ้านเรียก วัดบ้านนาพึง ที่ตั้งของวัดเป็นที่ราบ มีลำห้วยพึงไหลผ่านทางด้านทิศเหนือไปทางตะวันออก และลำน้ำหูไหลจากทางตะวันตกของหมู่บ้านลงไปทางทิศใต้ ทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่ในพื้นที่หุบเขา ติดต่อกับชุมชนภายนอกค่อนข้างลำบาก

ข้อมูลจากการดำเนินงานของกรมศิลปากรพบว่า หมู่บ้านแห่งนี้ ตั้งอยู่ไม่ต่ำกว่า 200 ปีมาแล้ว โดยมีวัดโพธิ์ชัยเป็นวัดประจำชุมชนมาอย่างน้อย 2 ชั่วอายุคน ชาวบ้านระบุว่าเกิดมาก็เห็นอยู่อย่างนี้ แต่ไม่เป็นที่รู้จักเพราะขาดการติดต่อกับโลกภายนอก ไม่มีใครจำได้ว่ามีเจ้าอาวาสมาแล้วกี่รูป แต่มีตัวหนังสือธรรมและคำบอกเล่าของชาวบ้านต่อๆกันมาว่า เจ้าอาวาสรูปแรก คือ “หลวงพ่อหลักคำ ธรรมาจารย์” เป็นพระเถระที่ปฏิบัติเคร่งครัดพระ วินัย เป็นผู้คงแก่เรียนสามารถอ่านอักษรโบราณได้และมีความแตกฉานในพระไตรปิฎก

พระอุโบสถของวัด


โบราณสถานและจิตรกรรมทรงคุณค่าภายในวัด
สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมภายในวัดโพธิ์ชัย เป็นการผสมผสานระหว่างล้านช้างกับล้านนา มีโบราณสถานต่างๆที่ได้รับการขึ้นทะเบียนไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ได้แก่ วิหาร, โบสถ์, เสาหลักคํา, หอไตร, เจดีย์, หอกลอง, หอพระ และซุ้มประตู

รูปปั้นตัวมอมด้านหน้าวิหาร
จุดเด่นของ “วิหาร” เป็นโบราณสถานโครงสร้างไม้ ผนังก่ออิฐสอดิน หลังคามุงด้วยไม้ (แป้นเกล็ด) ฐานบัวควํ่าขนาดใหญ่ มีประตูเข้า 3 ทาง โดยมีราวบันไดเป็นรูปปั้นตัวมอม สัตว์ป่าหิมพานต์ลักษณะงานปั้นแบบช่างท้องถิ่น เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าใหญ่ ซึ่งเป็นพระประธานในวิหาร


ฝาผนังด้านในทั้ง 4 ด้าน มี “ฮูบแต้ม” (จิตรกรรมฝาผนังอีสาน) ที่มีความสวยงามแบบเอกลักษณ์ช่างพื้นบ้าน สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นงานศิลปะที่เขียนขึ้นโดยช่างฝีมือชื่อ “ขุนพรหม” ซึ่งแต่เดิมคือชาวลาว ที่ได้มาตั้งหลักฐานทํามาหากินในหมู่บ้าน และอุทิศเวลาเป็นช่างเขียนภาพฝาผนังให้แก่วัด บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ ชาดก นิทานพื้นบ้าน คติธรรมต่างๆ

จิตรกรรมด้านในวิหาร

จิตรกรรมด้านในวิหารสีสันสดกว่าชัดเจน
เทคนิคของสีที่ใช้เขียนภาพ คือ สีฝุ่นผสมกาว มีทั้งสีคราม ดำ แดง เหลือง ขาว โดยโครงสร้างสีของภาพที่ผนังด้านนอกใช้สีครามเป็นหลัก ส่วนภาพด้านในเน้นสีสดใสรุนแรงชัดเจนกว่า สันนิษฐานว่าเป็นการวาดในช่วงเวลาต่างกัน หรือช่างวาดคนละคน

จิตรกรรมด้านในวิหาร

จิตรกรรมด้านในวิหาร

จิตรกรรมด้านในวิหาร
โดยผนังด้านในเขียนภาพในปี พ.ศ.2395 (ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ) เรื่องราวที่วาด ได้แก่ พุทธประวัติ พระเวสสันดรชาดก เนมิราชชาดก นิทานพื้นบ้าน เป็นต้น 

ส่วนผนังด้านนอก เขียนในปี พ.ศ. 2459 เรื่องราวของพระมาลัย พระเนมิราชเสด็จชมเมืองนรก พระสังข์ศิลป์ไชย การะเกด ตลอดจนภาพแสดงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คน ตลอดจนภาพความรุ่งเรืองในเมืองสมัยใหม่ของยุคนั้น การทหารสมัยใหม่ รวมถึงการรถไฟอีกด้วย

ฮูปแต้มผนังด้านนอกวิหาร

ภาพรถไฟในงานจิตรกรรม
“พระเจ้าองค์แสน” พระพุทธรูปคู่เมือง
ภายในกุฏิเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย เป็นที่เก็บรักษาปูชนียวัตถุสำคัญยิ่งอีกอย่าง โดยเป็นที่ประดิษฐาน “พระเจ้าองค์แสน” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “พระเจ้าแสนห่า” เป็นพระพุทธรูปโบราณคู่บ้านคู่เมืองมาหลายชั่วอายุคน หล่อด้วยทองสำริด ประทับขัดสมาธิราบ พระพักตร์ยาวรี ยอดพระเมาลีเป็นเปลวเพลิง พระสังฆาฏิเป็นท้องนาค สันนิษฐานว่าเป็นพระจากเมืองเชียงแสน

มีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันว่า พระเจ้าองค์แสน ไปประดิษฐาน ณ ที่แห่งใด จะมีฝนตกต้องตามฤดูกาล น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ โดยก่อนหน้านี้ประทับอยู่ที่เมืองหงสาวดี ต่อมาได้ย้ายมาประดิษฐานอยู่ที่จังหวัดลำพูน จากนั้นไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ก่อนจะเสด็จมาประทับที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาพึง ในครั้งหนึ่งเจ้าเมืองหลวงพระบาง ขออัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับเมืองหลวงพระบาง มีการจัดขบวนช้างมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับ แต่ไม่สามารถนำกลับไปได้ เนื่องจากช้างไม่ยอมก้าวเดิน จึงต้องอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนประทับอยู่ที่เดิม และเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของบ้านนาพึง และอำเภอนาแห้วมาจวบจนถึงทุกวันนี้

พระเจ้าองค์แสน เก็บรักษาไว้ในกุฏิเจ้าอาวาส



กำลังโหลดความคิดเห็น