“...ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปพบราษฎรมาทั่วประเทศ เพราะได้มีโอกาสตามเสด็จพระราชดำเนินทุกหนแห่งจึงได้พบความจริงที่ว่า คนไทยเรานั้นแม้อยู่ห่างไกลความเจริญของเมืองหลวง ก็มีความสามารถทางด้านศิลปะเป็นอย่างสูง เช่น ผ้าไหมไทย ผ้าไทยต่าง ๆ ที่เห็นมีสีและลวดลายที่สวยงามนั้น เกิดมาจากความสามารถของชาวบ้านเองแท้ ๆ ไม่ต้องให้ใครไปออกแบบลวดลายและสีสันให้คนไทย เหล่านี้เองที่ข้าพเจ้าขอยกย่องว่า เป็นผู้สืบทอดศิลปะให้แก่ชาติบ้านเมืองของเขาจริง แม้แต่ผู้ที่ไม่เคยมีความรู้ทางหัตถกรรมใด ๆ เลย ก็ต้องนับว่ามีสายเลือดทางศิลปะอยู่ในตัวแล้ว เพราะเพียงได้มาเรียน ไม่นานก็สามารถผลิตผลงานที่สวยงามได้อย่างน่าอัศจรรย์ บัดนี้ ข้าพเจ้าได้ประจักษ์ด้วยตนเองแล้วว่า ประชาชนไทยของเราเปรียบเสมือนคลังเก็บรักษาศิลปวัฒนธรรมของชาติอย่างแท้จริง เพียงแต่ให้เขาได้มีโอกาสแสดงออกในคุณค่าของเขาเท่านั้น..”
พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระขนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๑
หนึ่งในพระมหากรุณาธิคุณใต้พระบารมีในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่มีต่อพสกนิกรชาวไทยก็งานด้านการส่งเสริมศิลปาชีพ โดยเฉพาะ “ผ้าไหมไทย”และ “ผ้าไทยต่าง ๆ”ที่พระองค์ทรงใช้เวลากกว่า 60 ปี อนุรักษ์ ส่งเสริม และพัฒนาภูมิปัญญาผ้าไทย ที่ถูกทอดทิ้งจนเกือบสูญหายในหลายพื้นที่ ให้ฟื้นกลับมาเป็นอาภรณ์อันงดงามเลอค่า สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับคนไทยจำนวนมาก จนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมไทยล้ำค่าอันเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก
นอกจากนี้ยังมี “ชุดไทยพระราชนิยม” ที่เป็นอีกหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า ซึ่งเป็นผลงานทรงออกแบบในพระราชดำริของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่มีจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ.2503 ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ซึ่งมีกำหนดการที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จะเสด็จฯ ไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทรงฉลองพระองค์ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ไทยอย่างแท้จริง
โดยฉลองพระองค์ ชุดไทยแบบต่าง ๆ ที่ทรงใช้ในการเสด็จเยือนต่างประเทศล้วนตัดเย็บด้วยผ้าไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็น พระอัจฉริยะภาพในการสร้างสรรค์และสืบสานธรรมเนียมการแต่งกายแบบเอกลักษณ์ไทย ซึ่งแต่ละแบบนั้นมีความงดงาม ผสมผสานธรรมเนียมการแต่งกายของสตรีไทยในราชสำนักสมัยโบราณให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างเหมาะสมแก่วาระต่าง ๆ
หลังจากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงแนะนำให้เพิ่มเติมและปรับปรุงฉลองพระองค์ชุดไทยแบบต่าง ๆ ที่ทรงในระหว่างเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการในครั้งนั้น ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบชุดประจำชาติไทยสำหรับสตรี เป็นที่รู้จักกันดีภายหลังในชื่อ “ชุดไทยพระราชนิยม” ที่มีทั้งหมด 8 แบบ ได้แก่
1.”ชุดไทยเรือนต้น” ตั้งชื่อตามเรือนต้น ใช้ผ้าไหมมีลายริ้ว ตามขวางหรือตามยาว หรือใช้ผ้าเกลี้ยงมีเชิงซิ่น ยาวจรดข้อเท้า ป้ายหน้า เสื้อใช้ผ้าสีตามริ้วซิ่นหรือเชิงซิ่น จะตัดกับวิ่นหรือสีเดียวกันก็ได้ เสื้อคนละท่อนกับซิ่น แขนสามส่วน กว้างพอสบาย ผ่าอก กระดุม 5 เม็ด คอกลมตื้นไม่มีขอบตั้งที่คอ ใช้แต่งในงานที่ไม่เป็นพิธีการหรือในโอกาสปกติและต้องการความสบาย เรียบง่าย เช่น งานกฐิน เที่ยวเรือ งานทำ บุญ วันสำคัญทางศาสนา ข้อสำคัญต้องเลือกใช้ผ้าที่ใช้ตัดให้เหมาะสมกับเวลาและสถานที่
2.“ชุดไทยจิตรลดา” ตั้งชื่อตามพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ใช้ผ้าไหมเกลี้ยงมีเชิง หรือทอยกดอกทั้งตัวก็ได้ตัดเป็นซิ่นยาว ป้ายหน้า เสื้อคนละท่อนกับซิ่น คอกลมมีขอบตั้งน้อยๆ ผ่าอก แขนยาว เป็นชุด ไทยที่ใช้ในพิธีกลางวัน ใช้ในโอกาสพิเศษ เช่น งานพระราชพิธีต่างๆ รับประมุขจากต่างประเทศที่มาเยือนอย่างเป็นทางการ ไม่ต้องประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์
3.”ชุดไทยอมรินทร์” ตั้งชื่อตามพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัย แบบเหมือนไทยจิตรลดา ต่างกันที่ใช้ผ้าและเครื่องประดับหรูหรากว่าไทยจิตรลดา ใช้ผ้าไหมยกดอกที่มีทองแกมหรือยกทองทั้งตัว เสื้อคนละท่อนกับซิ่น ไม่มีเข็มขัด ใช้สำหรับพิธีตอนค่ำ เหมาะสมสำหรับงานเลี้ยงรับรองรับเสด็จ ไปดูละครตอนค่ำ และ เฉพาะในงานพระราชพิธีสวนสนามในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือ ใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศหรือครึ่งยศ เช่น ในงานพระราชพิธีหรืองานสโมสรสันนิบาต
4.”ชุดไทยบรมพิมาน” ตั้งชื่อตามพระที่นั่งบรมพิมาน ใช้ผ้ายกไหมหรือยกทองมีเชิง หรือยกทองทั้งตัวก็ได้ตัดติดกันกับตัวเสื้อ หรือเป็นเสื้อคนละท่อนก็ได้ซิ่นจีบหน้ามีชายพก ยาวจรดข้อเท้า ใช่เข็มขัดไทยคาดเสื้อคอกลม ขอบตั้ง ผ่าด้านหน้าหรือด้านหลังก็ได้แขนยาว ใช้สำหรับงานพิธีตอนค่ำ เหมาะสำหรับงานพิธีเต็มยศและครึ่งยศ เช่น งานอุทยานสโมสร งานพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำอย่างเป็นทางการ หรือเป็น ชุดเจ้าสาว
5.”ชุดไทยดุสิต” ตั้งชื่อตามพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตัวเสื้อไม่มีแขน คอด้านหน้า-หลัง คว้านกว้าง มีลวดลายสวยงาม เหมาะกับการสวมสายสะพายในพระราชพิธีเต็มยศ ใช้ผ้ายกไหมหรือยกทอง จีบหน้า มีชายพก จีบเอว ใช้เข็มขัดไทยคาด เป็นเสื้อผ่าหลัง และปักเป็นลวดลายด้วยไข่มุก ลูกปัดหรือเลื่อม ใช้ในงานพระราชพิธีตอนค่ำ ที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศ
6.”ชุดไทยจักรี” ตั้งชื่อตามพระที่นั่งจักรีมหาประสาท เป็นชุดไทยห่มสไบ ซิ่นมีจีบยกข้างหน้า มีชายพก ใช้ผ้ายกมีเชิงหรือยกทั้งตัวคาดเข็มขัดไทย ท่อนบนเป็นสไบ จะเย็บติดกับซิ่นหรือท่อนเดียวกัน หรือจะมีสไบห่มต่างหากก็ได้เปิดบ่าข้างหนึ่ง ชายสไบคลุมทิ้งชายด้านหลังยาวตามเห็นสมควร ใช้สำหรับงานตอนค่ำ สวมใส่เครื่องประดับให้งดงามตามโอกาส
7.”ชุดไทยศิวาลัย” ตั้งชื่อตามพระที่นั่งศิวาลัย ซิ่นแบบไทยจักรพรรดิ ใช้ซิ่นไหมหรือยกทอง มีชายพกเสื้อตัดแบบแขนยาว ผ่าหลัง เย็บติดกับผ้าซิ่นคล้ายไทบรมพิมาน แต่ห่มปักลายไทยอย่างแบบไทยจักรพรรดิทับโดยไม่ต้องมีแพรจีบรองพื้นก่อน ใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศ เหมาะสำหรับเวลาที่มีอากาศค่อนข้างเย็น
8.”ชุดไทยจักรพรรดิ” ตั้งชื่อตามพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ใช้ซิ่นไหมหรือยกทอง เอวจีบ จีบหน้า มีชายพก ห่มแพรจีบแบบไทย เป็นชั้นที่หนึ่งก่อนแล้วจึงใช้สไบปักอย่างสตรีบรรณาศักดิ์สมัยโบราณ ห่มทับแพรจีบอีกชั้นหนึ่ง ใช้เข็มขัดไทยคาด ใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายแบบเต็มยศ
ชุดไทยพระราชนิยมเหล่านี้ แต่ละแบบมีรากฐานมาจากเครื่องแต่งกายของสตรีในราชสำนักโบราณ ผสมผสานกับเทคนิคการตัดเย็บแบบตะวันตก ทำให้ได้ชุดไทยที่ร่วมสมัย สวมใส่ได้จริง และยังสง่างามตราตรึง นอกจากนี้ชื่อของชุดไทยพระราชนิยม ยังมีความสุนทรีย์ทางภาษาและแสดงเอกลักษณ์ของชาติไทยได้อย่างชัดเจน
วันนี้ชุดไทยพระราชนิยม นอกจากจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ”ในปี พ.ศ.2566 แล้ว ยังถูกเสนอขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้”ของยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2569
ขณะที่ทางกระทรวงวัฒนธรรมวันนี้ก็ได้เดินหน้าขับเคลื่อนส่งเสริมชุดไทยพระราชนิยมและผ้าไทยแบบเต็มสูบ โดยมีกิจกรรมสำคัญหลากหลาย รวมถึง การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ชุดไทยพระราชนิยมในต่างประเทศ (roadshow) ในช่วงเดือนธันวาคม 2568 - เมษายน 2569 เพื่อปักหมุดให้โลกรู้ถึงความยิ่งใหญ่และวิจิตรงดงามของชุดไทยพระราชนิยม ที่ถือเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมอันสำคัญแห่งหนึ่งของโลก
สำหรับสถานที่ชมความงามวิจิตรของชุดไทยพระราชนิยมที่โดดเด่นครบเครื่องมากที่สุดในวันนี้ก็คือที่ “พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” หรือที่คนนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า “พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ” ที่ตั้งอยู่ที่ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ริมกำแพงพระบรมมหาราชวัง (วัดพระแก้ว)
วันนี้เพื่อร่วมรำลึกและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ทางพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี ผ่าน 2 นิทรรศการถาวรอันทรงคุณค่า คือ “ชุดไทย: จากราชสำนักสู่ราชนิยม” และ “สิริราชพัสตราบรมราชินีนาถ” ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระพันปีหลวง ในการรวบรวม จัดแสดง และเก็บรักษาให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ สืบสาน อนุรักษ์ และส่งเสริมผ้าไทย ตลอดจนศิลปหัตถกรรมของแผ่นดินให้คงอยู่อย่างสง่างามและร่วมสมัยคู่สังคมไทยและสายตาชาวโลก
และนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ความงดงามของ “ชุดไทยพระราชนิยม” ภูษาแห่งพระราชปณิธาน “สมเด็จพระพันปีหลวง” ซึ่งทรงอุปถัมภ์ ส่งเสริม สนับสนุนให้งานศิลปะแห่งผืนผ้าของแผ่นดินคงอยู่อย่างสง่างาม มีความร่วมสมัยคู่สังคมไทยและสายตาชาวโลกมาจนถึงทุกวันนี้
###########################
พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตั้งอยู่ ณ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ริมกำแพงพระบรมมหาราชวัง (หรือวัดพระแก้ว) ทางทิศเหนือ ระหว่างประตูวิเศษไชยศรี และประตูวิมานเทเวศร์ เปิดให้เข้าโดยไม่เสียค่าเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป เวลา 09.00-15.30 น.


