“โขน” ศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งนอกจากเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยแล้ว ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ” จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
โขนมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามยุคสมัย เพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการชมมากขึ้น นับได้ว่า โขนในประเทศไทย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงทำนุบำรุง พัฒนาต่อยอดให้โขนโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องการแต่งกาย แต่งหน้า ชุดการแสดง เทคนิคการแสดง และเวลาที่จะแสดงจะมีการสร้างฉาก สร้างเทคนิคต่างๆ เพื่อให้ทันสมัย จะเห็นได้ว่าได้ใช้เทคโนโลยีด้านแสงสีเสียงอย่างสมบูรณ์ จนกระทั่งทุกวันนี้โขนได้รับความสนใจจากเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป
“ไม่มีใครดู แม่จะดูเอง” พระราชเสาวนีย์ชุบชีวิตโขนไทย
การชมมหรสพในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาและสืบทอดกันต่อมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โขนถือเป็นการแสดงอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมจากประชาชน แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่านไป การเปิดรับวัฒนธรรมที่หลากหลาย การแสดงต่างๆก็ทางเลือกเพิ่มมากขึ้น โขนจึงค่อยๆลดความนิยมลงไป
ดังเห็นได้จากในปี พ.ศ. 2546 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กราบบังคมทูลว่า การแสดงโขนกำลังซบเซา ขาดคนดู ซึ่งในครั้งนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชเสาวนีย์ว่า “ไม่มีใครดู แม่จะดูเอง”
จากพระราชเสาวนีย์ เมื่อมีการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงให้จัดแสดงโขนหน้าพระที่นั่ง มีประชาชนและผู้ตามเสด็จได้ร่วมชมด้วย โดยกรมศิลปากรจัดแสดงโขนตอนนิ้วเพชร ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จีงหวัดสกลนคร โขนตอนสัมนักขาหึง ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ โขนตอนยกรบ ณ วังไกลกังวล หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานเงินทุนให้กรมศิลปากร นำไปศึกษาพัฒนาเครื่องแต่งกายโขนให้งดงามดังอดีต ทรงสนับสนุนพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อวินิจฉัยเครื่องแต่งกายโขนให้มีลวดลายประณีตงดงาม และมีพระราชเสาวนีย์ให้กรมศิลปากร ศึกษาการจัดสร้างเครื่องแต่งกายโขนให้มีลวดลายประณีตงดงามกว่าเดิม กลายเป็นรูปแบบเครื่องแต่งกายโขนต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
โดยเครื่องแต่งกายโขนเลียนแบบมาจากเครื่องต้น หรือเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ มีการประดิษฐ์ที่ประณีต สวยงาม เทคนิคการปักผ้าที่เรียกว่าการปักสะดึงกรึงผ้า ซึ่งเป็นงานปักผ้าตามแบบราชสำนักไทยโบราณ ช่างมักใช้เข็มขนาดเล็กเพื่อใช้ไหมเส้นเดียวในการปักที่จะทำให้ได้ลวดลายที่ละเอียด โดยจะนำผ้าที่ต้องการปักมาขึงกับสะดึงให้ตรึงแล้วใช้เส้นไหม ดิ้น เลื่อม ลูกปัด หรือปีกแมลงทับมาตกแต่งลวดลาย
การแสดงโขนไทย
ทั้งนี้ โขน ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของผู้แสดงที่ต้องสวมหน้ากาก (หัวโขน) ให้ตรงตามลักษณะของผู้แสดง เช่น ยักษ์ ลิง เป็นต้น ส่วนตัวพระ ตัวนาง และเทวดา สมัยก่อนก็สวมหัวโขน แต่ปัจจุบันใช้หน้าผู้แสดงไม่ต้องสวมหัวโขนแล้ว
การดำเนินเรื่องหรือคำนำเล่าเรื่อง เป็นทำนองเรียกว่าการพากย์อย่างหนึ่งและการเจรจาอีกอย่างหนึ่ง โดยใช้กาพย์ยานีและกาพย์ฉบัง โดยมีผู้ให้เสียงแทน เรียกว่า ผู้พากย์ และผู้เจรจา ผู้ต้นเสียงและลูกคู่ร้องบทให้ ใช้วงปี่พาทย์ ประกอบการแสดง จึงสามารถกล่าวได้ว่า โขน เป็นจุดศูนย์รวมของศาสตร์และศิลป์หลากหลายแขนง เช่น วรรณกรรม วรรณศิลป์ นาฎศิลป์ คีตศิลป์ หัตถศิลป์
โขน เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย แบบแผนของโขนมีการพัฒนาการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยเพื่อเป็นการช่วยเพิ่มอรรถรสในการชมมากขึ้น ที่มาของการแสดงโขนใน ประเทศไทยนั้นรับแนวคิดมาจากเรื่องรามเกียรติ์
การแสดงโขนในไทย จึงนิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์ โดยในอดีตกรมศิลปากรเคยจัดแสดงเรื่องอุณุรุท แต่ได้รับความนิยมไม่มากเท่ากับเรื่องรามเกียรติ์ เนื่องจากเนื้อเรื่องเป็นการทำสงครามระหว่างกองทัพพระรามกับทศกัณฐ์ ซึ่งมีความสนุกสนานและตัวละครมากมาย ทั้งยังให้คติเตือนใจในการปกครองและการประพฤติตนในเรื่องความสามัคคี ความเสียสละ ความอดทน ความซื่อสัตย์ และความกล้าหาญ
โขนพระราชทาน
การแสดงโขนโดยมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้จัดแสดงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2550 ตอน “พรหมมาศ"
เกิดเป็นปรากฎการณ์ใหม่ในสังคมไทยที่ผู้ชมหลากหลายวัยเข้าชมโขนในครั้งนั้นเป็นจำนวนมาก ยังความปลาบปลื้มของคณะผู้จัดและเป็นที่ทรงพอพระราชหฤทัยของพระองค์ จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดการแสดงโขนพระราชทาน ซึ่งต่อมาจึงใช้ชื่อว่า "โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ" และมีการแสดงต่อเนื่องมาทุกปีจวบจนถึงปัจจุบัน
โดยในปี พ.ศ. 2568 นี้ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จัดแสดงโขนสุดยิ่งใหญ่แห่งปี ตอน “สัตยาพาลี” จับตอนตั้งแต่ทศกัณฐ์แปลงกายเป็นปูยักษ์หมายทำลายพิธีโสกันต์องคตกุมาร แต่พาลีผู้ได้พรจากพระอิศวรปราบได้ ต่อมาเกิดเหตุการณ์ทรพีบุตรทรพาโอหังไม่กตัญญูจนถูกพาลีฆ่าตายในถ้ำ และทำให้พาลีกับสุครีพ น้องชายเข้าใจผิดแตกกัน สุครีพจึงไปพึ่งพระรามและร่วมต่อสู้จนพาลีต้องยอมมรณภาพโดยฝากฝังบ้านเมืองไว้กับพระราม เรื่องราวดำเนินต่อด้วยทศกัณฐ์ให้นางมณโฑหุงน้ำทิพย์ชุบชีวิตพลยักษ์ แต่พระรามส่งหนุมานและเหล่าวานรไปทำลายพิธีได้สำเร็จ ก่อนที่กองทัพอธรรมจะพ่ายแพ้และทศกัณฐ์ต้องถอยทัพ เป็นการแสดงโขนที่สร้างความประทับใจ ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ความบันเทิงให้กับผู้ชม ครบทุกอรรถรส ได้ข้อคิดเรื่องของการรักษาสัจจะ รวมทั้งด้านคุณธรรม ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ รู้รักสามัคคี รู้จักหน้าที่
ถ่ายทอดการแสดงโดยนักแสดงเยาวชนรุ่นใหม่ มากฝีมือ ซึ่งเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกและฝึกซ้อมจากครูผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ คีตศิลป์ หลากหลายแขนง รวมทั้งแสง สี เสียง เทคนิคพิเศษต่างๆ ที่หาชมได้ยาก พร้อมชมความวิจิตรงดงามของเครื่องแต่งกายที่จัดสร้างด้วยความประณีต
กำหนดจัดแสดงขึ้นใน วันที่ 6 พฤศจิกายน –8 ธันวาคม 2568
ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศ
บัตรราคา 2,000 บาท, 1,800 บาท, 1,000 บาท, 800 บาทและ 600 บาท (รอบนักเรียน ราคา 200 บาท)
จำหน่ายบัตรแล้ววันนี้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ โทร. 0-2262-3456 www.thaiticketmajor.com


