ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าสู่ภาวะ ‘โคม่าทางอารมณ์’ หลังดัชนี Crypto Fear & Greed จมดิ่งอยู่ในโซน ‘Extreme Fear’ ต่อเนื่องยาวนานถึง 14 วัน ทุบสถิตินับตั้งแต่ปี 2561 นักวิเคราะห์ชี้ระดับความกลัวปัจจุบันรุนแรงกว่าช่วงวิกฤต FTX ล่มสลายเสียอีก ทั้งที่ราคา Bitcoin สูงกว่าตอนนั้นถึง 5 เท่า เผยสาเหตุหลักมาจากรายย่อยดั้งเดิม ‘หมดศรัทธา’ หลังโดนรับน้องจากเหรียญมีมและปัญหาสภาพคล่อง สวนทาง ‘รายย่อยสาย TradFi’ ที่ยังขนเงินเข้า ETF ไม่ขาดสาย
บรรยากาศการลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีส่งท้ายปี 2568 เต็มไปด้วยความอึมครึม เมื่อข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนกำลังเผชิญกับสภาวะความกลัวแบบสุดขีด โดยดัชนีชี้วัดอารมณ์ตลาดอย่าง Crypto Fear & Greed Index ร่วงลงมาแตะระดับ 20 เต็ม 100 (ณ วันที่ 26 ธันวาคม) ซึ่งถือเป็นการแช่อยู่ในโซน “Extreme Fear” หรือความกลัวขั้นสุด ติดต่อกันเป็นวันที่ 14 แล้ว นับตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม เป็นต้นมา
"Paradox of Fear" ราคาสูงแต่ใจฝ่อ
สิ่งที่น่าตกใจคือ ระดับความกลัวในปัจจุบันกลับ “ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน” ยิ่งกว่าช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่เกิดวิกฤตการณ์ FTX ล่มสลาย ซึ่งเป็นจุดด่างพร้อยที่สุดของวงการ ทั้งที่ในความเป็นจริง ปัจจุบันราคา Bitcoin (BTC) ซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ 88,650 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าช่วงวิกฤต FTX ที่ราคาดิ่งเหวเหลือเพียง 16,000 ดอลลาร์ ถึงกว่า 5 เท่าตัว!
ข้อมูลจาก CoinGecko ระบุว่า Bitcoin ปรับตัวลงมาแล้วเกือบ 30% จากจุดสูงสุดตลอดกาล (ATH) ที่ 126,080 ดอลลาร์ เมื่อเดือนตุลาคม โดยมีปัจจัยลบกระหน่ำซ้ำเติม ทั้งความกังวลเรื่อง “สงครามภาษีการค้า” ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่เคยกวาดมูลค่าตลาดหายไป 5 แสนล้านดอลลาร์ และความกังวลล่าสุดที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจชะลอการลดดอกเบี้ยในไตรมาสแรกของปี 2569 ซึ่ง Jeff Mei ผู้บริหารกระดานเทรด BTSE เตือนว่า หาก Fed ตรึงดอกเบี้ยจริง เราอาจได้เห็น Bitcoin ลงไปกองที่ 70,000 ดอลลาร์
สัญญาณชีพแผ่ว ชาวเน็ตเมิน-ยอดค้นหาหด
แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล Alphractal เปิดเผยสัญญาณที่น่ากังวลว่า ความสนใจของมวลชน (Public Interest) กำลังเหือดหาย ยอดการค้นหาคำว่า “Crypto” บน Google, การเข้าชม Wikipedia และการพูดคุยในเว็บบอร์ดต่างๆ ลดฮวบลงจนกลับไปสู่ระดับเดียวกับ “ตลาดหมี” (Bear Market)
“ธันวาคม 2568 คือภาพของนักลงทุนรายย่อยที่หมดกำลังใจ (Discouraged) ไม่ขอมีส่วนร่วม และหายตัวไปจากตลาดดื้อๆ” รายงานระบุ
แมตต์ โฮแกน เปิดความจริง รายย่อยรุ่นเก่า vs รุ่นใหม่
แมตต์ โฮแกน (Matt Hougan) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Bitwise ได้ออกมาวิเคราะห์ปรากฏการณ์นี้อย่างตรงไปตรงมา โดยชี้เป้าไปที่ “Crypto-native Retail” หรือนักลงทุนรายย่อยสายพันธุ์คริปโต ฯ ดั้งเดิม ว่าเป็นกลุ่มที่กำลังซึมเศร้าที่สุด
“คนกลุ่มนี้บอบช้ำมาอย่างหนัก...พวกเขาโดนทุบจากวิกฤต FTX โดนหลอกหลอนจากหายนะของเหรียญมีม (Memecoin Debacle) และต้องผิดหวังซ้ำซากที่ฤดูกาล Altcoin Season ไม่เคยมาถึง...พอเจอเหตุการณ์ล้างพอร์ตเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม เข้าไปอีก พวกเขาเลยตัดสินใจ ‘นั่งดูเฉยๆ’ (Sitting this one out) ดีกว่า”
ในทางกลับกัน โฮแกนมองว่ากลุ่ม “TradFi Retail” หรือนักลงทุนรายย่อยจากฝั่งการเงินดั้งเดิม (เปรียบเปรยว่าเป็นกลุ่มคุณลุงคุณป้า) กลับเป็นกลุ่มที่กำลังคึกคักและอุ้มตลาดอยู่ ผ่านการลงทุนในกองทุน Spot Bitcoin ETF ซึ่งตัวเลขยืนยันชัดเจนว่า แม้ราคา Bitcoin ปีนี้จะติดลบ 5% (YTD) แต่เม็ดเงินไหลเข้า ETF สหรัฐฯ กลับสูงถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สะท้อนว่าเงินเก่ายอมแพ้ แต่เงินใหม่ยังไหลเข้าไม่หยุดหย่อน


