xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 31.12-โมเมนตัมการแข็งค่ายังคงมีอยู่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (23ธ.ค.68)ที่ระดับ 31.12 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.18 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.05-31.20 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down ใกล้โซนแนวรับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.10-31.20 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยทั้งจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น จากจุดอ่อนค่าสุดในช่วงนี้ ขณะเดียวกันบรรยกาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็อยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ลดทอนความต้องการถือครองเงินดอลลาร์ในช่วงนี้

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำ ที่ได้อานิสงส์จากทั้งธีม Japanese Yen Debasement ในช่วงนี้ รวมถึงการอ่อนค่าลงล่าสุดของเงินดอลลาร์ และสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น หลังทางการสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้ายึดเรือน้ำมันของเวเนซุเอลา ส่วนสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ยังคงร้อนแรงอยู่ แม้ว่าจะมีการพยายามเจรจาเพื่อยุติสงครามควบคู่กันไป อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดบางส่วนโดยเฉพาะฝั่งผู้นำเข้าที่อาจเริ่มเข้ามาทำธุรกรรมในช่วงสิ้นเดือน

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง ยอดการจ้างงานภาคเอกชนรายสัปดาห์ โดย ADP ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เป็นต้น เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลา ที่ยังคงเห็นการเดินหน้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลาอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาท (USDTHB) แข็งค่าขึ้นมากกว่าที่เราประเมินไว้พอสมควร สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High) ของราคาทองคำ เสริมด้วยจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเราคงมองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงมีอยู่ และเงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนถึง ตลอดช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์)

เรามองว่า การจะเห็นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่องนั้น จะต้องเห็น 1. การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก 2. การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ หรือ ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานใหม่ นอกจากนี้ หากราคาทองคำเร่งตัวสูงขึ้น ก็สามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buying Flows (FOMO Buy) และ 3. ปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งควรจะต้องเห็นความเสี่ยงที่รุนแรงต่อปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก หรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ นักลงทุนต่างชาติแห่เทขายสินทรัพย์ไทย เช่น วิกฤตการเมือง (เรามองว่า ถ้าเป็นเพียงความวุ่นวายการเมืองอาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญได้)
กำลังโหลดความคิดเห็น