xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai COMPASSเผยลงทุนวูบฉุดจีดีพี-ชูแนวทางReinvent Thailandช่วยพลิกฟื้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS คาดการณ์จีดีพีปี 69 โต 1.8% เงินเฟ้อยังต่ำเปิดทางกนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้อีก พร้อมแนะเร่งรัดการลงทุนโดยมุ่งเป้าใน 6 อุตสาหกรรมตามแนวทาง Reinvent Thailand ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและสร้าง Multiplier ได้สูง จะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของจีดีพีระยะข้างหน้าได้อีกประมาณ 0.2-0.4% พร้อมเร่งส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับผลิตภาพ และทักษะแรงงาน โดยใช้ประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่ออกมา เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการค้ำประกันสินเชื่อที่จะช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น

นายฉมาดนัย มากนวล ผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB)
กล่าวว่า Krungthai COMPASS ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีหน้าเติบโตที่ระดับ 1.8% หรือประมาณการกรอบที่ 1.6-2.0% ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับที่ทำให้กับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) แต่มีโอกาสเติบโตในระดับที่ต่ำกว่า 2.0% ซึ่งอยู่ในระดับที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีนี้ ขณะที่ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ที่ -0.1%ในปีนี้ และ 0.2-0.7%ในปีหน้า ซึ่งถือว่ายังไม่เข้ากรอบอัตราเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่1-3%

อย่างไรก็ตาม จากกรอบเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับที่ต่ำต่อเนื่องจนถึงปีหน้าก็จะทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ยังมี Room ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้บนโยบายลงได้อีกเพื่อเป็นการพยุงเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัวจากปีก่อน

สำหรับภาวะเงินฝืดนั้น หากมองตามคำนิยามของเงินฝืดนั้น ถือว่าประเทศไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด โดยอัตราเงินเฟ้อปีหน้าจะมีค่ากลางที่ประมาณ 0.5% แม้จะมีอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบบ้างแต่มาจากปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น และหากมองที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation)ก็ยังเป็นบวก ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่เข้ากรอบของธปท.สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาอุปสงค์ในประเทศต่ำ และกำลังจะต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกในเรื่องสงครามการค้าที่จะรับผลเต็มปี ดังนั้น แม้ว่าเราจะยังไม่เข้าสู่สภาวะเงินฝืด แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่หากต้องเจอปัญหาอื่นๆเพิ่มขึ้นก็เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อปรากฏการณ์เศรษฐกิจโตต่ำของไทยมาจากการลงทุนที่แผ่วลงกว่าเดิม 5 เท่า และฉุดรั้งให้การเติบโตทางเศรษฐกิจช้าลงไปถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงกว่า 20 ปีก่อน ด้วยผลพวงจากรอยแผลเป็นหลังวิกฤตหลายระลอก และความท้าทายในการรับมือกับบริบทโลกใหม่ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

“การลงทุนของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สะท้อนภาพชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยสัดส่วนกระแสเงินสดในกิจกรรมลงทุนต่อสินทรัพย์รวม และอัตราการเติบโตของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนชะลอลงเหลือปีละ 3.8% และ 2.6% ตามลำดับ ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบจากช่วงกว่า 20 ปีก่อน โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และเทคโนโลยี ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในระยะหลังๆ มานี้ (ปี 2560-2567 ) พบว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและเวียดนาม สามารถดึงดูด FDI ได้สูงกว่าไทยถึง 3 เท่าตัว ขณะที่บทบาทการมีส่วนร่วมของไทยต่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ Semiconductors ยังค่อนข้างน้อย เนื่องจากแรงงานทักษะสูงมีน้อยกว่าคู่แข่ง นอกจากนี้ การลงทุนที่อ่อนแอยังกดดันการผลิตภาคอุตสาหกรรมให้โตช้าลง โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นการพึ่งพาปัจจัยทุน”

**แนะพุ่งเป้าตามแนวทางReinvent Thailand**
นายฉมาดนัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยต้องเร่งลงทุนทั้งในมิติการพัฒนากระบวนการผลิตไปสู่การใช้นวัตกรรม โดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องจักรใหม่และโรงงานอัฉริยะ (Smart Factory) ให้สอดรับกับโครงสร้างแรงงานที่เปลี่ยนไปตามสังคมสูงวัย และในมิติการพัฒนาทักษะแรงงานแบบ Right Re-Skill & Up-skill ขณะเดียวกันยังต้องเสริมศักยภาพด้วยการต่อยอดจากจุดแข็งที่มีเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยอาศัยแนวทาง Reinvent Thailand ที่จะสนับสนุนการยกระดับใน 6 อุตสาหกรรมเป้าหมายตั้งต้น (Priority Sectors) ได้แก่ Agri & Food Processing, Automotive, Smart Electronics, Medical & Wellness, Tourism และ Retail & Trading ซึ่งล้วนเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรม New S-Curve อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยมีจำนวนผู้ประกอบการราว 2.4 แสนราย (46% ของจำนวนผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคลทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็น SMEs) มีการจ้างงานมากถึงกว่า 10.6 ล้านคน (55% ของการจ้างงานจากธุรกิจทั้งหมด) และสร้างรายได้ต่อปีรวมกว่า 38 ล้านล้านบาท (64% ของรายได้รวมทุกธุรกิจ)

นายกฤตตฤณ เหล่าฤทธิ์ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า การพุ่งเป้ายกระดับการลงทุนตามแนวทาง Reinvent Thailand จะสามารถช่วยสร้างผลตอบแทนกลับมาเป็นมูลค่าเพิ่มสูง โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า หากไทยสามารถเพิ่มการลงทุนใน Priority Sectors ทั้ง 6 สาขาข้างต้น อย่างน้อยให้มีอัตราการเติบโตเทียบเท่ากับอัตราการเติบโตในช่วง 10 ปีก่อนเกิดโควิด-19 (ปี 2553 - 2562) จะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของจีดีพีระยะข้างหน้าได้อีกประมาณ 0.2-0.4% ต่อปี อีกทั้งยังเป็นการช่วยปรับโครงสร้างธุรกิจและแรงงานไทยให้สอดรับกับบริบทโลกมากขึ้น เพิ่มผลิตภาพ ซ่อมสร้างเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ (New growth engine) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศ อันเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เป็นรากฐานสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น