xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 31.43-ติดตามผลการประชุมBOJ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (19ธ.ค.68)ที่ระดับ 31.43 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”
จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.46 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.30-31.60 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.35-31.48 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจนทะลุกรอบ 31.40 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ในวันก่อนหน้า สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายน ชะลอตัวลงสู่ระดับ 2.7% ต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้ 3.1% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่ไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน (Core CPI) ก็ชะลอตัวลงต่อเนื่อง สู่ระดับ 2.6% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 3.0% ส่งผลให้บรรดาผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด (ตลาดให้โอกาสเกือบ 50% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปี 2026)

นอกจากนี้ ภาพดังกล่าวยังหนุนให้บรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างปรับตัวขึ้น และช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยรีบาวด์ขึ้นบ้าง พร้อมกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง ส่งผลให้เงินบาทชะลอการแข็งค่าขึ้น ก่อนที่จะแกว่งตัวแถวโซน 31.43 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยบรรดาผู้เล่นในตลาดและนักวิเคราะห์ ต่างประเมินว่า BOJ อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 0.75% หลังอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของ BOJ และมีแนวโน้มทรงตัวแถวระดับเป้าหมายของ BOJ ได้ในระยะข้างหน้า ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวดีขึ้น ตามอานิสงส์ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต ทว่า BOJ อาจยังมีความกังวลอยู่บ้างต่อประเด็นความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อาทิ ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีน ทำให้ BOJ อาจไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง และอาจระบุว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายยังคงเป็นส่วนหนึ่งของการปรับนโยบายการเงินให้มีความสมดุลสอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น (Policy Normalization) ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามทั้งแถลงการณ์การประชุม และถ้อยแถลงของผู้ว่าฯ BOJ ในช่วง Press Conference (ราว 13.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ ในระยะข้างหน้า

ทางฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนพฤศจิกายน

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนตุลาคม รวมถึงยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales)

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังร้อนแรงอยู่

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมั่นใจว่า เงินบาท (USDTHB) ยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะแข็งค่ามากกว่าระดับ สิ้นปีแถว 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 ได้ (สามารถอ่านได้ใน LineOA หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets) โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์)

อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ชะลอตัวลงและอาจทำให้ยังไม่สามารถเห็นการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องที่ชัดเจนของเงินบาทได้ในระยะสั้นนี้ ทว่า อาจต้องระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ ที่อาจทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง (Two-way risk)

โดยจากสถิติในอดีตนั้น ผลการประชุม BOJ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเงินบาทรุนแรง เหมือนการรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด ทว่า ในการประชุมครั้งนี้ หาก BOJ “เซอร์ไพรส์” ตลาดด้วยการคงดอกเบี้ย สวนทางกับคาดการณ์ว่า BOJ จะขึ้นดอกเบี้ย และไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม ก็อาจกดดันให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เสี่ยงอ่อนค่าลงหนัก และอาจเห็นระดับ 156-156.50 เยนต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก หนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น และกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงตามได้บ้าง

แต่หาก BOJ ขึ้นดอกเบี้ยตามคาด ทว่าไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดอาจยังคงตีความว่า การขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ อาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และอาจกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า ค่อนไปทางไตรมาสที่ 4 ได้ ส่งผลให้ เงินเยนญี่ปุ่นจะไม่ได้แข็งค่าขึ้นและมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways แถวโซน 155.50 เยนต่อดอลลาร์ ได้ โดยเราประเมินว่า กรณีนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด จากการวิเคราะห์ผลการประชุมของ BOJ ในช่วงที่ผ่านๆ มา และการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ

และหาก BOJ ขึ้นดอกเบี้ยตามคาด พร้อมส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมที่ชัดเจน ซึ่งอาจต้องสะท้อนในความเชื่อมั่นแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นและทิศทางอัตราเงินเฟ้อที่อาจอยู่ในระดับสูง แม้เราจะมองว่า กรณีนี้นั้นมีโอกาสเกิดต่ำ ทว่า หากเกิดขึ้นจริง เงินเยนญี่ปุ่นก็สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์ ทดสอบโซน 154.50 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยหนุนให้เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นหลุดโซนแนวรับ 31.40 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้ เปิดโอกาสให้เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 31.00-31.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้ หากมีปัจจัยหนุนอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ราคาทองคำปรับตัวขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ตามการอ่อนค่าลงเพิ่มเติมของเงินดอลลาร์
กำลังโหลดความคิดเห็น