xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 31.48-ไฮไลท์รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(16ธ.ค.68)ที่ระดับ 31.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.44 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.40-31.75 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.41-31.53 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ทว่าโดยรวมเงินดอลลาร์ก็เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อย่าง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ตามการทยอยปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุเหนือจุดสูงสุดก่อนหน้า ได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ จากความกังวลแนวโน้มอุปทานน้ำมันตลาดโลก หลังการเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีความคืบหน้ามากขึ้น ก็มีส่วนกดดันเงินบาทได้บ้าง (อย่างน้อยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท) ผ่านโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมัน

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในเดือนพฤศจิกายน และข้อมูลตลาดแรงงานบางส่วนของเดือนตุลาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนธันวาคม ซึ่งรายงานข้อมูลดังกล่าวจะสะท้อนว่า การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมล่าสุดนั้น เหมาะสมหรือไม่ และแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟดในระยะข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งอังกฤษ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวก็มีส่วนส่งผลต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงาน ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของยูโรโซน รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีและยูโรโซน (ZEW Survey) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB)

ทางฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.50 น. ของเช้าวันพุธ ที่ 17 ธันวาคม นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดการส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่น ในเดือนพฤศจิกายน

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังร้อนแรงอยู่

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมั่นใจว่า เงินบาท (USDTHB) ยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสที่จะแข็งค่ามากกว่าระดับ สิ้นปีแถว 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 ได้ (สามารถอ่านได้ใน LineOA หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets) โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์)

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในช่วงนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทควรชะลอลงบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ ในคืนนี้ ที่ตลาดจะทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ตั้งแต่ช่วง 20.30 น. เงินบาทเสี่ยงผันผวนสูงขึ้น ตามการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว โดยจากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา เราพบว่า เงินบาทมีกรอบการแกว่งตัว +/- 1.0SD ในช่วง 30 นาที หลังรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ราว +0.50%/-0.39%

โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาดมาก โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น กดดันราคาทองคำและเงินบาท โดยเงินบาทก็เสี่ยงที่จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

ในทางกลับกัน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดก็อาจไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็คาดหวังการลดดอกเบี้ยราว 2-3 ครั้ง ในปี 2026 ไปมากแล้ว ทำให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจย่อตัวลงบ้าง แต่ต้องติดตามว่า ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ เพราะในช่วงนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ อาจช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ไม่ยาก และในกรณีดังกล่าว อาจเห็นเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซน 31.40 บาทต่อดอลลาร์ ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น