ช่วงนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทำหน้าที่ดุจมือประหาร สั่งลงโทษและดำเนินคดีผู้กระทำความผิดในตลาดหุ้นเป็นชุด ๆ ล่าสุดกล่าวโทษอดีตกรรมการและผู้บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO กับพวกรวม4 คน ในความผิดร้ายแรง
บุคคลที่ถูก ก.ล.ต.กล่าวโทษต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) ในข้อหาร่วมกันกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต จากการซื้อหุ้นในบริษัทย่อยราย บริษัท โมเมนตัม เอส จำกัด (MTS) เป็นเหตุให้ CMO ได้รับความเสียหาย ประกอบด้วยอดีตกรรมการและผู้บริหารของ CMO 2 ราย นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ และนายกิตติ พัวถาวรสกุล รวมพวกอีก 2 ราย ประกอบด้วย นายสุรเดช ตั้งเสถียรชัยกุล และบริษัท ที มันนี่ (ไทยแลนด์) จำกัด (T-Money)
ผู้สอบบัญชีของ CMO ได้แจ้งความผิดปกติจากการตรวจสอบบัญชีประจำปี 2566 ในเดือนตุลาคม 2566 พบธุรกรรมการลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทย่อยราย MTS ซึ่ง ก.ล.ต.ได้ตรวจสอบและพบพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่า อดีตกรรมการและผู้บริหารของ CMO และพวกร่วมกระทำการทุจริตผ่านการลงทุนซื้อหุ้น MTS
นายกิตติศักดิ์ และนายกิตติ นำ T-Money ไปซื้อหุ้น MTS จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมในราคาทุนเพียง 400,000 บาท ก่อนนำไปขายต่อให้แก่ CMO ในราคา 65 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินกว่าราคาที่สามารถซื้อได้จริง และพบว่านายกิติศักดิ์และนายกิตติเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากส่วนต่าง (กำไร) จากการขายหุ้น เป็นเหตุให้ CMO ได้รับความเสียหาย
ก.ล.ต.ได้แจ้งการดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เนื่องจากเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และห้ามผู้ถูกกล่าวโทษเปนกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน
นายกิตติถือเป็นนักลงทุนขาใหญ่ และเข้าไปไปโฉบเฉี่ยวหุ้นขนาดเล็กหลายตัว โดยพฤติกรรมการลงทุนเป็นที่ถูกพูดถึงมานาน กอบโกยกำไรในหุ้นบางตัวนับร้อยล้านบาท ก่อนจะเผ่นออก ซึ่งน่าจะรวมถึงหุ้น บริษัท มิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI ในยุคที่หุ้นเพิ่งเข้าซื้อขายช่วงแรก ๆ
การโกยกำไรจากตลาดหุ้นด้วยวิธีการที่หมิ่นเหม่ต่อการกระทำผิด นายกิตติรอดมาตลอด จนอาจย่ามใจ และไม่ยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แต่สุดท้ายไม่รอด ต้องพบจุดจบโดยถูกกล่าวโทษดำเนินคดีอาญา ในความผิดร้ายแรงคือ โกงผู้ถือหุ้น
นายกิตติเรียนหลักสูตร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรหรือ วปอ. รุ่นเดียวกับนายกิติศักดิ์ หรือ “โทนี่” และชักขวนกันเข้ามาหาเงินจากตลาดหุ้น ซึ่งนอกจากถือหุ้นและเป็นผู้บริหารใน CMO ด้วยกันแล้ว ยังเป็นผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บริษัท ควอลลิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ QLT ร่วมกันอีกด้วย
ทั้ง CMO และ QLT ตกอยู่สภาพหุ้นตายซาก ผลประกอบการบริษัทขาดทุนต่อเนื่อง ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีเพียงระดับ 1 พันรายเศษ ซึ่งอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เพราะติดหุ้นต้นทุนสูง และมองไม่เห็นอนาคตบริษัท ฯ แต่ยังถูกนายกิตติและนายกิติศักด์ปล้น ซ้ำเติมผู้ถือหุ้นรายย่อย CMO อีก
ใครที่ใช้ชีวิตในทางที่ผิด กอบโกยความมั่งคั่งบนความทุกข์ร้อนของคนอื่น และไม่คิดกลับตัวยกลับใจ ก้มหน้าก้มตาตักตวงผลประโยชน์บนหายนะของชาวบ้าน สักวันหนึ่งต้องพบกับจุดจบ
ขาใหญ่อย่างนายกิตติพบกับกรรมที่ก่อไว้ในอดีตไล่ล่าแล้ว เพียงแต่ ก.ล.ต.ต้องย้อนตรวจสอบพฤติกรรมของนักลงทุนขาใหญ่รายนี้ว่า กระทำความผิดอะไรในตลาดหุ้นอีกบ้าง โดยเฉพาะหุ้น QLT ที่กำลังมีสภาพตายซาก มีธุรกรรมการผ่องถ่ายเงินด้วยหรือไม่
การซื้อขายทรัพย์สิน เป็นช่องทางในการผ่องถ่าย ไซฟ่อนเงินออกจากบริษัทจดทะเบียน ปล้นผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งในรอบ 3 ปี ก.ล.ต.สั่งให้บริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขายทรัพย์สิน อันมีปมต้องสงสัยในความไม่โปร่งใส เข้าข่ายการผ่องถ่ายเงิน และยังมีบริษัทจดทะเบียนบางกลุ่ม นำเงินของผู้ถือหุ้น ไปเที่ยวซื้อกิจการโรงแรง ร้ายอาหาร หรือซื้อหุ้นบริษัทในกลุ่มตัวเองที่กำลังจะเจ๊ง
การผ่องถ่ายเงินออกจากบริษัทจดทะเบียน ปล้นผู้ถือหุ้นรายย่อยยังดำเนินต่อไป การกล่าวโทษนายกิตติ พัวถาวรสกุล ในความผิดทุจริต นักลงทุนขาใหญ่ที่หากินในตลาดหุ้นมานาน เป็นเพียงคดี 1 ใน 100 ของการผ่องถ่ายเงินออกจรากบริษัทจดทะเบียนเท่านั้น
อาชญากรนักปล้นในตลาดหุ้นยังลอยนวลอยู่อีกนับร้อยนับพันคน เป็นภัยร้ายของนักลงทุนรายย่อย และมองไม่เห็นว่า ก.ล.ต.จะกวาดล้างให้สิ้นซากได้อย่างไร


