xs
xsm
sm
md
lg

จีนเร่งตุนทองคำหนีความเสี่ยง 13 เดือนติด ตอกย้ำ "บิทคอยน์" ในฐานะทองคำดิจิทัล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มังกรจีนขยับตัวแรง! ธนาคารกลางจีน (PBoC) เดินหน้ากวาดซื้อทองคำเข้าคลังสำรองต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกัน สะท้อนยุทธศาสตร์หนีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหญ่ นักวิเคราะห์คริปโตฯ ชี้แม้จีนไม่แตะบิทคอยน์ แต่พฤติกรรมตุน “สินทรัพย์นอกระบบ” (Outside Money) นี้ กลับเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ Bitcoin โดยไม่ตั้งใจ ในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลเพียงหนึ่งเดียวที่ไร้ความเสี่ยงจากคู่สัญญาและอำนาจรัฐแทรกแซง

ยุทธการหนีตาย เมื่อ ‘พันธบัตรสหรัฐฯ’ ไม่ใช่หลุมหลบภัย

การที่ธนาคารกลางจีนเพิ่มการถือครองทองคำอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายปี 2565 สอดคล้องกับเทรนด์ของธนาคารกลางทั่วโลกที่เร่งสะสมทองคำในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การเคลื่อนไหวนี้มีนัยสำคัญมากกว่าแค่เรื่องของปริมาณ แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของ “องค์ประกอบทุนสำรองระหว่างประเทศ”

จุดเปลี่ยนสำคัญคือเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปอายัดทรัพย์สินของธนาคารกลางรัสเซียในปี 2565 ซึ่งทำให้นิยามของ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Risk-free Assets) ถูกตั้งคำถาม ธนาคารกลางทั่วโลกต่างตระหนักว่าสินทรัพย์ที่เคยเชื่อว่าปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แท้จริงแล้วคือ “Inside Money” หรือหนี้สินของผู้อื่นที่อาจถูกระงับการเข้าถึงได้เมื่อเกิดความขัดแย้ง

ในทางตรงกันข้ามทองคำคือ “Outside Money” หรือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวเอง ไม่ใช่ภาระผูกพันของใคร และสามารถชำระบัญชีได้ทางกายภาพโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบธนาคารตัวแทน (Correspondent Banking) ที่อาจถูกแทรกแซงได้

บิทคอยน์ รับอานิสงส์โดยไม่ตั้งใจ

นี่คือจุดที่บิทคอยน์เข้ามามีบทบาทในฐานะ “ทองคำดิจิทัล” เพราะมันคือสินทรัพย์ดิจิทัลเพียงชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติเป็น Digital Outside Money อย่างแท้จริง คือไม่มีผู้ออก (Issuer), ไม่พึ่งพาผู้รับฝากทรัพย์สินในต่างประเทศ (Custodian) และไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา (Counterparty Risk)

แม้จีนจะไม่ได้ซื้อบิทคอยน์และไม่มีท่าทีสนับสนุน แต่ยุทธศาสตร์การหันไปหาสินทรัพย์ที่ควบคุมได้เองและยึดครองยาก (Seizure-resistant) ของจีน กลับเป็นการ “ตรวจสอบและยืนยัน” (Validate) เหตุผลในการมีอยู่ของบิทคอยน์โดยอ้อม นักลงทุนสถาบันในโลกตะวันตกมองเห็นความเชื่อมโยงนี้ว่า ในขณะที่มหาอำนาจเผด็จการเลือกใช้ทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง ภาคเอกชนก็กำลังเลือกใช้บิทคอยน์ด้วยเหตุผลเดียวกัน

การซื้อทองคำของจีน (ที่มา: Kobeissi Letter)
Correlation พุ่งเมื่อบิทคอยน์ เลิกทำตัวเป็นหุ้นเทคฯ

ข้อมูลตลาดสถิติยืนยันความสัมพันธ์นี้ โดยพบว่าค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่าง บิทคอยน์และทองคำในรอบ 180 วัน ได้พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.9 ในเดือนตุลาคม ก่อนจะปรับตัวลงมาที่ 0.67 ในต้นเดือนธันวาคม

การเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันนี้ สะท้อนว่านักลงทุนเริ่มมองบิทคอยน์ในมุมใหม่ ไม่ใช่แค่สินทรัพย์เทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูง (High-beta Tech Play) อีกต่อไป แต่เป็นสินทรัพย์ที่ตอบสนองต่อปัจจัยมหภาค เช่น การเสื่อมค่าของเงินตรา และความเสี่ยงด้านหนี้สาธารณะ ในลักษณะเดียวกับทองคำ

ความสัมพันธ์ระหว่างบิทคอยน์และทองคำ (ที่มา: CryptoQuant)
วิกฤตหนี้สหรัฐฯ เชื้อเพลิงชั้นดีของ ‘Hard Assets’

ปัจจัยเร่งสำคัญที่ผลักดันให้นักลงทุนหันมาหาสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Hard Assets) คือสถานะทางการคลังที่ย่ำแย่ของสหรัฐฯ โดยในปี 2567 สหรัฐฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้สูงถึง 8.81 แสนล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2569

สภาพแวดล้อมที่รัฐบาลพิมพ์เงินออกมาอย่างมหาศาลนี้ เป็นแรงส่งชั้นดีให้กับสินทรัพย์ที่มีอุปทานจำกัดอย่างทองคำและ บิทคอยน์โดยเฉพาะบิทคอยน์ที่มีจำนวนจำกัดตายตัวตามหลักคณิตศาสตร์ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าทองคำในแง่ของความขาดแคลน (Scarcity)

ตรรกะเดียวกัน ในโลกคู่ขนาน

แม้ทองคำและบิทคอยน์จะมีความแตกต่างกันในแง่ของกรอบกฎหมาย การยอมรับ และความผันผวน แต่ทั้งสองสินทรัพย์กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยตรรกะเดียวกัน คือการเป็น “เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของเงิน” (Hedge against debasement) ในยุคที่ผลตอบแทนที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ การที่ทั้งสองสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จึงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่านักลงทุนกำลังให้ความสำคัญกับ “การปกป้องเงินต้น” มากกว่า “ผลตอบแทนระหว่างทาง”