xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.46-แกว่งในกรอบ Sideways-เสี่ยงทยอยอ่อนค่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(21พ.ย.68)ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”
จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.44 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.50 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ทว่าก็มีจังหวะอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.36-32.48 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำ (XAUUSD)

โดยรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากทาง BLS ล่าสุด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ที่มีความผสมผสาน ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาด รวมถึงบรรดานักวิเคราะห์ต่างก็มีมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคม ทว่า ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็มองว่า เฟดอาจจะขาดการรับรู้ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายน ที่จะทยอยประกาศในวันที่ 16 ธันวาคม หลังการประชุม FOMC เดือนธันวาคม ทำให้ เฟดอาจชะลอการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมไปก่อน สอดคล้องกับ โอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม ที่ยังต่ำกว่า 40% ทว่า ผู้เล่นในตลาดก็มองว่า เฟดอาจเลื่อนการลดดอกเบี้ย ไปยังการประชุมเดือนมกราคมได้ ทำให้เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 3-4 ครั้ง ในปี 2026

และนอกเหนือจากความไม่แน่นอนของแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ตลาดการเงินยังเผชิญความผันผวนจากราคาหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะกลุ่มธีม AI/Semiconductor หลังราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าว พลิกกลับมาปรับตัวลงหนัก จากที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงแรกของการซื้อ ขาย ตอบรับผลประกอบการของ Nvidia ที่ดีกว่าคาด โดยผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อความยั่งยืนของผลประกอบการ โดยเฉพาะประเด็น Circular Deal กันในกลุ่ม และระดับมูลค่าที่สูงมากของหุ้นกลุ่มดังกล่าว

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้ง สหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนตุลาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด ธนาคารกลางยูโรโซน (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) พร้อมทั้งรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้งรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจจะสามารถทยอยอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้านแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะในจังหวะที่บรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง จากแรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็อาจเผชิญแรงกดดันได้ไม่ยากและมีโอกาสที่จะเห็นแรงขายหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้ เรามองว่า เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) หลังเงินเยนญี่ปุ่นได้อ่อนค่าลงมาพอสมควรและยังไม่มีแนวโน้มที่จะกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจนได้ จนกว่าตลาดจะเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือคลายกังวลต่อประเด็นความเสี่ยงที่กระทบเศรษฐกิจและตลาดการเงินญี่ปุ่นในขณะนี้ (ความกังวลเสถียรภาพการคลัง ความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งมีผลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น) นอกจากนี้ แม้ตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่หากความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดยังอยู่ ก็อาจไม่ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้ ดังที่เห็นในช่วงคืนที่ผ่านมา ทำให้เงินบาทก็ขาดอานิสงส์จากราคาทองคำได้ แต่ในทางกลับกัน หากราคาทองคำย่อตัวลง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดก็อาจรอทยอยเข้าซื้อ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็อาจกดดันเงินบาทได้บ้าง ทำให้ เงินบาทก็ยังคงมีโซนแนวรับแถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์

แม้เงินบาทจะเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่เรามองว่า ผู้เล่นในตลาด อย่าง กลุ่มผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงนี้ รวมถึงผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจมีการปรับลดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ซึ่งสอดคล้องกับการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD (มองเงินดอลลาร์แข็งค่า) กันบ้าง ทำให้เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องอย่างชัดเจนได้ และเราขอย้ำว่า เรายังมองว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น จบสิ้นปีนี้ที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ หรืออาจแข็งค่ากว่าได้เล็กน้อย (การวิเคราะห์โดยละเอียดสามารถรอติดตามได้จาก Global FX Outlook 2026 ของเรา) ยกเว้นว่า เงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าทะลุโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เราถึงจะเชื่อว่า เงินบาทกลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following
กำลังโหลดความคิดเห็น