xs
xsm
sm
md
lg

คลังชงครม.18 พ.ย.นี้ ดันแผนระยะกลาง 3 แนวทาง ลดขาดดุลเหลือ 3% ปี 72 ย้ำไม่ขยายเพดานหนี้ 70%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คณกรรมการการเงินการคลัง ทำแผนการคลังระยะปานกลาง กำหนด 3 แนวทางหลัก ตั้งเป้าลดการขาดดุลงบประมาณเหลือ 3% ต่อ GDP ในปี 2572 ไม่ขยายเพดานหนี้สาธารณะที่ 70% ต่อ GDP เตรียมชง ครม. 18 พฤศจิกายน 2568 หวังสร้างความน่าเชื่อถือให้ประเทศ

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลัง ได้เตรียมทำแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework: MTFF) โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับฐานะทางการคลังของประเทศ โดยแผนดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นในด้านการรักษาวินัยการคลังภายใต้นโยบาย Quick Big Win 5 เสาหลัก 1 ฐานราก ซึ่งฐานรากคือการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ

“ที่ผ่านมาประเทศไทยเคยถูกบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือCredit Rating Agency 2 แห่ง ปรับลดมุมมองจาก stable เป็น negative แม้ว่าอันดับความน่าเชื่อถือจะยังไม่ถูกปรับลดลงก็ตาม ขณะที่ยังมี Credit Rating อีก 1 แห่งที่ยังไม่ได้เผยแพร่อันดับเครดิตของประเทศไทย ดังนั้นการจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางครั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือให้กับประเทศ”


ทั้งนี้ การรักษาเสถียรภาพการคลังของประเทศในที่กำหนดในแผนการคลังระยะปานกลางจะดำเนินการผ่าน 3 แนวทางหลัก
1.การกำหนดแนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สินให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
2.การปรับปรุงและเพิ่มกฎเกณฑ์การคลัง รวมถึงการยกระดับความโปร่งใสเกี่ยวกับต้นทุนการคลังต่างๆ รวมถึงรายได้สูญเสียจากสิทธิประโยชน์ภาษี(Tax Expenditure) โดยจะมีการรายงานรายได้สูญเสียจากสิทธิประโยชน์ทางภาษี ต่างๆ เช่น มาตรการภาษีที่ใช้ไปทำให้รายได้สูญเสียไปเท่าใด รวมถึงรายงานการสูญเสียรายได้จากการให้สิทธิประโยชน์จาก BOI เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
3.การวางแนวทางกำกับการดำเนินมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่งพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง โดยคณะกรรมการฯ ตระหนักถึงความเห็นของ Rating Agency ที่มองว่าประเทศไทยใช้มาตรการตามมาตรา 28 ค่อนข้างมากจึงได้กำหนดกรอบกติกาและความเข้มงวดในการขออนุมัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ยังคงกรอบมาตรา 28 ไว้ที่ 32% ของงบประมาณแต่จะเน้นความเข้มงวดในกระบวนการอนุมัติมากขึ้น

การจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางในครั้งนี้ ตั้งเป้าหมายที่จะปรับลดการขาดดุลงบประมาณให้ไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปี 2572 โดยปัจจุบันการขาดดุลงบประมาณในปี 2569 อยู่ที่ 4.4% ของ GDP สำหรับปี 2570 จะการขาดดุลงบประมาณก็จะปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ยืนยันที่จะรักษาเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่ให้เกิน 70% และจะไม่ขยายเพดานหนี้สาธารณะ

นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้ปรับปรุงกรอบวินัยการคลังให้เข้มงวดขึ้น โดยไม่ได้มีการแก้ไข พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง แต่เป็นการใช้กำหนดกฎเกณฑ์ให้รัดกุมยิ่งขึ้น เช่น ปรับสัดส่วนงบกลางให้แคบลงจาก 2–3.5% เหลือ 2–3% กำหนดให้ชำระต้นเงินกู้ ไม่น้อยกว่า 4% จากเดิมกรอบกว้าง 3.5–5% ลดกรอบวงเงินการก่อหนี้ผูกพันระหว่างปีงบประมาณที่เกินกว่าหรือนอกเหนืองบประมาณตามมาตรา 42 ของ พ.ร.บ. งบประมาณ ลงจาก 8% เหลือ 5%

“แนวทางทั้งหมดนี้มีเป้าหมายร่วมกันคือสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันจัดอันดับเครดิตและสาธารณชนมั่นใจว่าประเทศไทยสามารถปรับลดดุลการคลังสู่ระดับ 3% ของ GDP ภายในปี 2572 และยังสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตด้านอย่างยั่งยืน พร้อมกับเป็นส่วนสำคัญของการวางรากฐานการเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว”

การปรับลดสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านการลงทุน โดยยืนยันว่าจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนผ่านใช้เครื่องมือทางการคลังที่ไม่ก่อให้เกิดภาระหนี้สาธารณะและภาระทางการคลัง ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFF) และการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ( Public Private Partnership: PPP) ซึ่งทั้ง 2 เครื่องมือนี้จะช่วยเพิ่มการลงทุนในประเทศในระยะยาว

ทั้งนี้คณะกรรมการฯ จะนำเสนอแผนการคลังระยะปานกลางเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 18 พ.ย. 2568 หลังจากนั้นจะเสนอกรอบวงเงินงบประมาณปี 2570 ต่อครม. ในวันที่ 25 พ.ย. 2568

“สำนักงบประมาณจะจัดทำปฏิทินงบประมาณปี 2570 ทำให้เร็วขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยหากมีการยุบสภาเกิดขึ้นหลังจากที่ร่างงบประมาณผ่านการเห็นชอบจาก ครม. ชุดปัจจุบันแล้ว จะต้องรอให้สภาชุดใหม่เข้ามาพิจารณาต่อไป”

เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือว่าแผนนี้จะคงอยู่ต่อไปในระยะยาว คณะกรรมการฯ กำหนดให้ดุลการคลังเป็นหลักการสำคัญสูงสุดที่ต้องยึดถือ โดยได้มีการหารือถึงกลไกที่เรียกว่าการชดเชย โดยหากรัฐบาลชุดใดก็ตามไม่สามารถดำเนินการตามเป้าหมายการขาดดุลที่กำหนดไว้ที่ 3% ของ GDP ภายในปี 2572 รัฐบาลนั้นจะต้องเพิ่มรายได้หรือลดรายจ่ายเพื่อชดเชย


กำลังโหลดความคิดเห็น