สหรัฐฯ กลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณยุติชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อถึง 43 วัน ซึ่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ การเปิดทำการของรัฐบาลครั้งนี้ไม่เพียงปลดล็อกการทำงานของหน่วยงานรัฐ แต่ยังจุดความหวังให้ตลาดคริปโตกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง หลังต้องชะงักจากภาวะไร้งบประมาณ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณที่ผ่านวุฒิสภาเมื่อวันจันทร์ และได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธ เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เขาจัดการเซ็นรับรองให้รัฐบาลกลับมาทำงานอย่างเป็นทางการ หลังจากต้องปิดทำการนานกว่า 6 สัปดาห์ ซึ่งถือเป็นการชัตดาวน์ที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
หนึ่งในประเด็นขัดแย้งหลักที่ทำให้ร่างกฎหมายล่าช้า คือ “งบประมาณด้านสาธารณสุข” ที่พรรคเดโมแครตต้องการเพิ่มการสนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ฝั่งรีพับลิกันต้องการผลักการพิจารณาออกไปหลังร่างกฎหมายผ่านแล้ว
หลังลงนาม ทรัมป์กล่าวเชิงเปิดทางว่า พร้อมจะทำงานร่วมกับพรรคเดโมแครตเพื่อหาทางออกร่วมกันในอนาคต “ผมพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่าย รวมถึงอีกพรรคด้วย เราควรทำสิ่งที่ดีกว่าเกี่ยวกับระบบสาธารณสุข” เขากล่าวอย่างมั่นใจ
ร่างกฎหมายฉบับนี้จะเปิดงบประมาณให้รัฐบาลทำงานต่อเนื่องถึงวันที่ 30 มกราคม และเป็นช่วงเวลาสำคัญให้ทั้งสองพรรคเร่งเจรจาข้อตกลงด้านงบประมาณระยะยาวสำหรับปีงบประมาณ 2569
หน่วยงานกำกับดูแลคริปโตกลับมาทำงาน - ความหวัง ETF ฟื้น
การเปิดรัฐบาลอีกครั้งทำให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) และคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (CFTC) กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
ก่อนหน้านี้ SEC ชะลอการพิจารณาอนุมัติ “กองทุน ETF ที่อ้างอิงราคาคริปโตโดยตรง (Spot Crypto ETF)” หลายรายการ เนื่องจากไม่มีงบประมาณและบุคลากรเพียงพอ ขณะที่ CFTC เตรียมเดินหน้าการพิจารณารับรอง “ไมค์ เซลิก” ผู้ได้รับการเสนอชื่อจากทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการฯ ในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก็จะกลับมาทำหน้าที่พิจารณาข้อเสนอแนะสาธารณะต่อ “ร่างกฎหมาย GENIUS Act” ซึ่งมุ่งเน้นกำกับดูแล Stablecoin โดยมีการรวบรวมความคิดเห็นไว้ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน
อย่างไรก็ตาม ตลาดคริปโตยังคงนิ่งสนิทหลังข่าวการเปิดรัฐบาล โดยราคาบิทคอยน์ไม่ขยับอย่างมีนัยสำคัญ แม้ในอดีต การกลับมาเปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ มักเป็นแรงกระตุ้นให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงพุ่งขึ้นแรงก็ตาม
ครั้งนี้จึงอาจไม่ใช่เพียงการ “ปลดล็อก” รัฐบาลเท่านั้น แต่ยังเป็นการทดสอบว่าความเชื่อมั่นในตลาดคริปโตของสหรัฐฯ จะกลับมาได้เร็วเพียงใด ภายใต้ยุคการเมืองที่ยังเต็มไปด้วยการต่อรองและความไม่แน่นอน.


