นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(13พ.ย.68)ที่ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น หลังจากอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงบ่ายของวันก่อนหน้า (แกว่งตัวในกรอบ 32.32-32.51 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง (ทำให้ในเชิงกลยุทธ์ Trend-Following ราคาทองคำได้กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง) ตามการตอบรับของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ภายในวันพฤหัสฯ นี้ (ตามเวลาประเทศไทย) เปิดทางให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ หลังหุ้นธีม AI/Semiconductor ยังคงเผชิญแรงขายต่อเนื่อง ก็มีส่วนช่วยหนุนราคาทองคำเพิ่มเติม
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางหลักดังกล่าว โดยผู้เล่นในตลาดอาจให้ความสนใจกับ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้ เปิดทางไปสู่การรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในเดือนตุลาคม
และในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 รวมถึง ภาวะภาคการผลิต ผ่านรายงานยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนกันยายน
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังภาวะ Government Shutdown ที่ยืดเยื้ออาจยุติลงได้ในวันนี้ และเริ่มมีการไต่สวนคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน หลังภาวะ US Government Shutdown อาจยุติลงได้ภายในวันนี้ (ขณะที่เรากำลังเขียนอยู่นั้น ทางสภาผู้แทนฯ ของสหรัฐฯ อาจกำลังลงคะแนนโหวตกันอยู่) ทำให้ ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ ได้ โดยหลังจากที่หน่วยงานทางการของสหรัฐฯ เริ่มกลับมาทำงานตามปกติ เรามองว่า ภายใน 2 วัน อาจจะสามารถทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากทาง BLS อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ส่วนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ก็อาจทยอยรับรู้ ยอดการจ้างงานฯ ในเดือนตุลาคม ได้ รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ทำให้ เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงหลังภาวะ US Government Shutdown สิ้นสุดลง ผู้เล่นในตลาดจะเผชิญกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง หรือ Data Bombardment ซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้นได้ไม่ยาก และควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (XAUUSD) ด้วยเช่นกัน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาทองคำมากขึ้นอีกครั้ง ทำให้ หากราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมาเชื่อมั่นว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้เพิ่มเติม อย่างในการประชุมเดือนธันวาคม ก็อาจหนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ไม่ยาก ยิ่งในช่วงนี้ ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ ราคาทองคำกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ซึ่งหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ ก็อาจหนุนให้ เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เปิดทางให้เงินบาทอาจสามารถแข็งค่าสู่โซนแนวรับ 32.00-32.15 บาทต่อดอลลาร์ ได้
ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้าง หลังในช่วงนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการทยอยอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุด ได้อ่อนค่าเกือบทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์อยู่ ทั้งฝั่งผู้นำเข้า และฝั่งผู้เล่นในตลาดพลังงาน ตามการปรับตัวลดลงของราคาพลังงานในช่วงนี้ อีกทั้ง แรงขายสินทรัพย์ไทย อย่าง หุ้นไทย จากบรรดานักลงทุนต่างชาติก็ยังมีอยู่ในช่วงระยะสั้น


