นักวิชาการ TDRI เปิด 6 สัญญาณเขย่าโลก
สู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ จับตาปัญหาหนี้ทั่วโลก หลัง
หนี้ภาครัฐหลายประเทศจ่อทะลุ 100% จีดีพี แถมวัยแรงงานหดหาย แต่เศรษฐกิจต้องแบกภาระผู้สูงอายุมากขึ้นจากสังคมสูงวัย ระบุการเมืองภายในแตกขั้ว ภูมิรัฐศาสตร์ร้อนแรง และโครงสร้างอำนาจโลกใหม่บีบให้ทุกชาติ ต้องเลือกข้างพร้อมคาดสงครามการค้า และการแข่งขันด้านเทคโนโลยี–ดิจิทัล–AI ชี้ขาดแบ่งโลก2ฝากมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้
ดร. นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยภายในงานสัมมา iBusiness Forum: Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทยว่า
วันนี้เราจะมาดู “ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทย” และเรื่องการเมืองเล็กน้อย เพื่อจะใช้เป็นสัญญาณให้เห็นภาพรวมว่าโลกกับเศรษฐกิจไทยกำลังเดินไปทิศทางไหน ซึ่งถ้าเรามองโลกยาวออกไปสัก 5–10 ปีข้างหน้า มันจะมี “สัญญาณสำคัญ 6 ตัว” ที่ต้องจับตา ซึ่งสัญญาณเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่าแต่ละประเทศจะโตดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเขาจัดการมันอย่างไร
ทั้งนี้6 สัญญาณนี้ประกอบด้วย 1.เรื่อง “หนี้ภาครัฐ” 2.“โครงสร้างประชากร” ที่เปลี่ยนไป เข้าสู่สังคมสูงวัย 3.“Internal Order” หรือระเบียบภายในประเทศ
4..“ภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อม”5.“ภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitics) ที่เริ่มมีปัญหาและปะทุขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และสุดท้ายคือ “โครงสร้างอำนาจของโลก” ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร กำลังเปลี่ยนทิศทางไปแบบไหน
ปัจจัยเหล่านี้เชื่อมโยงและเป็นตัวชี้ว่าประเทศไหนจะเติบโตได้ดีหรือไม่ดี และขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศ “จัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ดีแค่ไหน”
ประเด็นแรก คือเรื่อง “หนี้ภาครัฐ” หรือบางคนเรียกว่า “หนี้ล้นระบบ” โดยความสำคัญของมัน อาจมองเป๋นสองตัวแปรใหญ่ที่เข้ามาชนกัน
ดร. นณริฎ ตัวแปรแรกคือปัญหา “หนี้” ในตัวมันเองโดยปกติ หนี้ก็เป็นหนี้ของใครของมันไป ถ้าเป็นหนี้ครัวเรือนหรือหนี้บริษัท เวลาเป็นหนี้ก็จะใช้จ่ายได้น้อยลงสักพักหนึ่ง จนกว่าจะเคลียร์หนี้ได้ พอใช้หนี้หมด เขาก็กลับมาบริโภคได้ใหม่ แต่ “หนี้ภาครัฐที่สูงมาก” มันไม่เหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จัดการได้ง่าย ๆ ด้วยตัวบุคคล หรือด้วยเครื่องมือปกติของธนาคารกลางอย่างเดียว พอหนี้สูงจนถึงระดับหนึ่ง ธนาคารกลางต้องใช้ “มาตรการฝ่ายการคลังและมาตรการเชิงโครงสร้างของภาครัฐ” เข้ามาช่วยจัดการลักษณะหนี้แบบนี้ เราจึงเรียกกันว่าเป็น “หนี้ที่จัดการได้ยาก” หรือหนี้ที่เริ่มเป็นภาระเชิงโครงสร้าง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ IMF ออกมาเตือนหลายประเทศทั่วโลก
วันนี้ ถ้าเราดูแผนที่โลกเรื่อง “หนี้ภาครัฐต่อจีดีพี” จะเห็นว่าหลายประเทศ ตัวเลขพุ่งขึ้นไปแถว ๆ 100% ของจีดีพีแล้วความน่ากลัวของมันมีอยู่สองชั้นชั้นแรกคือ “ความจริงทางเศรษฐกิจ” ว่าหนี้สูงทำให้รัฐมีพื้นที่นโยบายจำกัด เมื่อเกิดวิกฤตใหม่ ๆ ก็ช่วยได้ไม่เต็มที่ ชั้นที่สองคือ “ความกลัวและความคาดหวังของนักลงทุน” เวลา IMF หรือองค์กรระดับโลกออกมาเตือน จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ช่องทางของความคาดการณ์” หรือ Expectations Channelคือ
“ถ้าคนที่เป็นเจ้าหนี้เดิมเคยคิดว่า ลูกหนี้คนนี้แม้จะมีหนี้เยอะ แต่ยังจ่ายได้ทุกปีสม่ำเสมอ เขาก็อาจยังไม่กังวลมากแต่พอมีคนมากระซิบว่า คนนี้มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้นะ ระวังหน่อย ความกลัวก็จะค่อย ๆ สะสมสุดท้าย แม้บางประเทศอาจจะยังไม่ถึงจุดวิกฤต แต่ก็อาจถูก “ลดเครดิต” ถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งขึ้น ทั้ง ๆ ที่ฐานะจริงอาจยังไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นเพราะฉะนั้น เรื่องหนี้ภาครัฐจึงเป็นปัจจัยแรกที่เราต้องจับตาว่า “ประเทศไหนหนี้มาก” ก็จะลำบากมากขึ้นในการรับมือวิกฤตข้างหน้า”
ผมยกตัวอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ให้ดูว่า แม้จะเป็นประเทศที่ดูเข้มแข็ง แต่ก็มีสัญญาณเตือนเรื่องหนี้จากหลายสถาบัน ซึ่งถ้าไม่บริหารจัดการดี ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้
ดร. นณริฎ กล่าวอีกว่า ประเด็นต่อมา คือเรื่อง “โครงสร้างประชากร”ถ้าเรามอง “ภาพรวมของโลก” จะพบว่ากลุ่มประเทศที่ “ประชากรยังเพิ่มขึ้นเร็ว” หรือพูดง่าย ๆ ว่า “อัตราการเกิดสูงพอ” จริง ๆ แล้วเหลืออยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มประเทศในแอฟริกา หรือบางกลุ่มในเอเชียใต้แต่ประเทศเศรษฐกิจหลัก ๆ ทั้งหลาย กำลังเผชิญ “สังคมสูงวัย” และ “อัตราการเกิดต่ำ”
ถ้าเมองสัดส่วนประชากรวัยแรงงาน คืออายุประมาณ 15–64 ปี เราจะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมา สัดส่วนนี้ของโลกยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆแต่พอราว ๆ ปี 2010 เป็นต้นมา ประชากรรุ่นใหม่ที่เข้ามาทดแทนแรงงานรุ่นเก่า เริ่มเพิ่มช้าลงและตั้งแต่ราวปี 2013 เป็นต้นมา “จำนวนประชากรวัยแรงงานของโลก” เริ่มมีแนวโน้ม “ลดลง” ซึ่งจะเป็น“คลื่นใหญ่” ที่กำลังอัปเดตโครงสร้างประชากรของโลก และแต่ละประเทศต้องคิดให้ดีว่า จะรับมืออย่างไร
ในระดับโลก เรากำลังเผชิญ “จุดหักเหใหญ่” ที่วัยแรงงานจะไม่เพิ่มต่อ แต่เริ่มหายไปเรื่อย ๆผลก็คือ ระบบเศรษฐกิจที่เคยมีแรงงานจำนวนมากรองรับ ก็จะเริ่มขาดแคลนแรงงาน ขณะที่ภาระด้านสวัสดิการผู้สูงอายุจะเพิ่มสูงขึ้น
ถ้าเราดูฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว จะเห็นว่า “ญี่ปุ่น” เข้าสู่สังคมสูงวัยก่อนใคร ตามมาด้วย “สหรัฐฯ” และ “สหภาพยุโรป”ส่วน “ประเทศไทย” รูปแบบจะคล้าย ๆ กับ “จีน” คือไทยเคยมีประชากรวัยทำงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่พักใหญ่แต่ตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงที่ “เริ่มหักหัวลง” แล้วเช่นกัน
อีกฝั่งหนึ่ง ถ้าดูประเทศที่ยังมีประชากรวัยทำงานเพิ่มขึ้น เช่น อินเดีย หรือบางประเทศในแอฟริกา โอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังพอมี แต่ก็ต้องบริหารให้ดี เพราะถ้ารับแรงงานไว้มาก แต่ไม่มีงานให้ทำ ก็จะกลายเป็น “ภาระ” ต่อระบบสวัสดิการและความมั่นคงภายใน
ดร. นณริฎ กล่าวอีกว่า ถัดมาคือระเบียบภายในของการเมืองแต่ละประเทศ” ซึ่งในระดับโลกจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ
“สมัยก่อน เราถูกสอนมาว่า โลกกำลังเดินไปในทิศทาง “เสรีประชาธิปไตย+ตลาดเสรี” อย่างชัดเจน คือ เน้นรัฐสวัสดิการ ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง–การเงินแบบขยายตัว
เชื่อในการค้าเสรี เชื่อในเสรีภาพการเคลื่อนย้ายทุนและแรงงาน เชื่อในความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน แต่พอเวลาผ่านไป หลายประเทศที่เดินเส้นทางนี้กลับเจอ “ผลข้างเคียง” เช่นความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาสสูงขึ้น หนี้สาธารณะพุ่ง
การรับผู้อพยพที่ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรม”
ในหลายประเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เราเห็นความพยายาม “ปรับลด” สวัสดิการบางอย่าง เช่น การปรับอายุเกษียณ ก็เกิดการประท้วง การจลาจล การไม่พอใจของประชาชน
ในสหรัฐฯ ก็เห็นการเมืองที่แบ่งขั้วชัดเจนขึ้น มีการชูแนวคิด “ทำเพื่อตัวเองก่อน” มากกว่าการเป็น “ผู้นำโลกเสรีนิยม” แบบในอดีต
ในเยอรมนี ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ เราเห็น “พรรคการเมืองฝั่งขวา–ชาตินิยม” เพิ่มบทบาทมากขึ้น สะท้อนปฏิกิริยาต่อปัญหาภายใน เช่น การอพยพ ประเด็นวัฒนธรรม และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ
ทั้งหมดนี้ ทำให้ “ระเบียบทางการเมืองภายในประเทศ” ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนในตำราอีกต่อไป แต่เป็นแหล่งความเสี่ยงใหม่ของเศรษฐกิจโลก
ดร. นณริฎ กล่าวอีกว่า เรื่องต่อไป คือ “ภูมิรัฐศาสตร์” กับคำถามว่า “สงครามการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยอย่างแรก เราต้องยอมรับว่า ตอนนี้มีหลักฐานชัดเจนมากขึ้นว่า “มาตรการภาษี การกีดกันทางการค้า” ไม่ได้เป็นแค่ความคิดเฉพาะตัวของผู้นำคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่ถูกใช้ใน “สงครามเชิงโครงสร้างระหว่างสองขั้วอำนาจ” คือ สหรัฐฯ กับจีน
เพราะฉะนั้น ถึงแม้ในอนาคต ศาลหรือกลไกต่าง ๆ จะบอกว่า ผู้นำบางคน “ใช้อำนาจเกินขอบเขต” หรือ “ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย” มาตรการบางอย่างอาจถูกลดความรุนแรงลงแต่ไม่ได้แปลว่า ความเสี่ยงจะหายไปเพราะสุดท้าย อาจจะมีผู้นำคนใหม่ หรือมีเครื่องมือใหม่ ๆ ถูกคิดขึ้นมาใช้ต่อในสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจอยู่ดีต่อให้ตัวละครเปลี่ยน กติกาบางส่วนเปลี่ยน แต่ “โครงเรื่องใหญ่เรื่องการแย่งชิงอำนาจระหว่างสหรัฐฯ กับจีน” ยังอยู่ และนี่คือบริบทที่ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ต้องอยู่ร่วมและปรับตัวให้ทันในช่วง 5–10 ปีข้างหน้า
การสู้กันของสหรัฐกับจีนรอบนี้ อาจจะไม่ใช่ Geopolitics ในแบบเดิมที่เราเคยคุ้นกัน คือสมัยก่อน Geopolitics จะเป็นเรื่องของ Hard Power เป็นเรื่องของการแย่งดินแดน ใช้การทูต ใช้อำนาจแข็ง ใช้กำลังเข้าไป “ลบล้าง–ห้ำหั่น” กัน
แต่ว่ารอบนี้มันจะเป็น Geo-economics แทน
Geo-economics คือการใช้ “เครื่องมือทางเศรษฐกิจ–เศรษฐศาสตร์” ในการจัดการเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ
ตัวอย่างเครื่องมือในสงครามเชิงเศรษฐกิจ เช่นเเราอาจจะเห็น Trade War และ Sanction มากขึ้นการออกมาตรการ “บังคับ/กีดกัน” การลงทุนข้ามประเทศการ “ดัก” หรือสกัดไม่ให้เกิดการลงทุนข้ามแดนในบางอุตสาหกรรม
ปัจจุบันจะพบว่าโครงสร้างของสหรัฐ “ไม่ยั่งยืน”หนี้มีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆดังนั้นมันเป็นเพียง “เรื่องของเวลา” ว่า วันใดวันหนึ่ง หากสหรัฐไม่สามารถเติบโตแบบเดิมได้ ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะต้อง “หาเครื่องมือใหม่” มาช่วยหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกพูดถึงก็คือ Trump Tariffจึงถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่ง “เครื่องมือ” ที่จะยังอยู่ต่อในอนาคต ไม่ใช่ของชั่วคราว
และสำคัญที่กำลังสู้กันอยู่ และมี Implication กับประเทศไทย คือ 4 เรื่องหลัก1.สงครามด้าน เทคโนโลยี2.สงครามด้าน ดาต้า (Data) 3.สงครามด้าน เอนเนอร์จี (Energy)
4.สงครามด้าน ทรัพยากร (Resources)
ทั้งหมดจะเป็นหัวใจสำคัญที่จะ Drive ต่อว่าบนเวทีโลก “ใครจะควบคุม Power ได้มากกว่าใคร”
ในธรรมชาติของโลก (Nature) ทุกท่านทราบกันดีว่า มันมีความอันตราย และกำลังจะเข้ามามีผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน ซึ่งเราต้องหาทางจัดการอย่างเร่งด่วนและใน Long-term Shock นี้ เราเห็นภาพชัดเจนว่าในอนาคต ทุกประเทศในโลก หนีเรื่องนี้ไม่พ้น
โครงสร้างอำนาจของโลก สุดท้ายในส่วนนี้คือ เทคโนโลยีใครที่ เก่งด้านดิจิทัลใครที่ ปรับตัวกับดิจิทัลได้ดีประเทศนั้นหรือกลุ่มคนนั้น เศรษฐกิจมักจะโตเร็วกว่าคนอื่นส่วนใครที่ ตามดิจิทัลไม่ทัน ตกเทรนด์ก็จะ แย่ลงAI ก็เช่นเดียวกันเพราะฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ได้มากน้อยแค่ไหน
ตัวอย่างในตลาดหุ้น S&Pดัชนีโดยรวมอาจจะ ทำ New High จริงแต่ถ้าเจาะดูรายตัว จะเห็นว่าหุ้นที่โตจริง ๆ คือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ New Technology
ส่วนหุ้นอื่น ๆ ที่เป็น Core Business แบบเดิม กลับ แย่ลงนี่สะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยีกำลัง “แบ่งโลก” ออกเป็นสองฝั่ง อย่างชัดเจนจะเห็นว่าทั้งโลก หันมาพยายามดึงเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโต (Growth Engine) เหมือนกันหมด


