นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(6พ.ย.68)ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.54 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down ใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.45-32.56 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยจังหวะการรีบาวด์สูงขึ้นบ้างของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่พยายามรีบาวด์ขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนไร้ทิศทางที่ชัดเจน แม้จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทั้ง ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ในเดือนตุลาคม ที่เพิ่มขึ้น 4.2 หมื่นราย ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ +3.2 หมื่นราย และพลิกจากที่ลดลงถึง 2.9 หมื่นราย ในเดือนกันยายน ส่วนดัชนี ISM ภาคการบริการในเดือนตุลาคม ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.4 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด สะท้อนถึงภาวะขยายตัวของภาคการบริการ) ดีกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งภาพดังกล่าวก็หนุนให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม (ล่าสุด มองว่า เฟดมีโอกาสราว 61% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประขุมเดือนธันวาคม) ทว่า เงินดอลลาร์ก็ย่อตัวลงบ้าง ตามบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ศาลสูงสุด (Supreme Court) มีโอกาส 74% (จาก Polymarket) ที่จะยืนคำตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act 1977 (IEEPA) ซึ่งอาจนำไปสู่การระงับมาตรการภาษีนำเข้าและมีโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องชดเชยภาษีนำเข้าที่ได้เรียกเก็บก่อนหน้า
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ รวมถึงเรา ยังคงประเมินว่า BOE อาจคงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.00% ในการประชุมครั้งนี้ ทว่า ต้องจับตาการส่งสัญญาณของ BOE ต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า BOE มีโอกาสราว 62% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งภาคเอกชนได้ทยอยประกาศมาพอควรแล้ว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และเริ่มมีการไต่สวนคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court)
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาท (USDTHB) อาจถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์เริ่มชะลอการแข็งค่าขึ้น ตามบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า สุดท้ายศาลสูงสุด (Supreme Court) อาจมีคำสั่งเพิกถอนมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้กฎหมาย IEEPA ซึ่งทำให้ความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ กลับมาเป็นประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจมากขึ้นได้ แต่โดยรวม เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งจะขึ้นกับการทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ รวมถึงบรรยากาศในตลาดการเงิน ซึ่งในช่วงที่ ตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจเป็นตัวเลือกของตลาดในการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) แทนที่จะเลือกถือทองคำ
เนื่องจากโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทชะลอลง แต่ความเสี่ยงการอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังมีอยู่ (ไม่ว่าจะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หรือจังหวะย่อตัวลงของราคาทองคำ) ทำให้ เราเรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง และอาจเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดตั้งแต่โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปจนถึงโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ (โซนแนวต้านถัดไป 32.85 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่ เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจนนัก หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้นำเข้า ต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์บ้าง อย่างในช่วงโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ เรามองว่า จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ถึงจะเริ่มเห็นการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่มีแนวโน้มชัดเจนอีกครั้ง


