"อัพบิต ประเทศไทย" รีบแจงกรณีข่าวเขย่าขวัญ "อัพบิต เกาหลี" ถูกสืบสวนคดีฟอกเงิน ยืนยันเป็นการ "ตรวจพบและรายงานธุรกรรมต้องสงสัยโดยสมัครใจ" ไม่ใช่การกระทำผิดหรือถูกกล่าวโทษ ชี้ปฏิบัติการเชิงรุกระงับบัญชีลูกค้ากลุ่มเสี่ยง "Huione" ก่อนหน่วยงาน FinCEN สหรัฐฯ ประกาศถึง 2 เดือน ตอกย้ำมาตรฐาน AML/CFT สูงสุด อัพบิต ไทย เผยมีลูกค้ารายชื่อต้องสงสัยไม่ถึง 30 บัญชี และส่วนใหญ่ถูกระงับก่อนตำรวจส่งข้อมูล ย้ำพร้อมสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนด้วยความโปร่งใสแม้กฎหมายไทยยังไม่บังคับใช้ Travel Rule
อัพบิต ไทย ออกโรงสยบข่าว! ยัน 'เกาหลี' ชิงลงมือ 'สแกน' ฟอกเงินก่อนถูกตรวจสอบ
นายปรีชา ไพรภัทรกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการถึงกรณีข่าวการสืบสวนที่เกี่ยวข้องกับ อัพบิต เกาหลี ซึ่งถูกรายงานว่าพบความเสี่ยงด้านการฟอกเงิน โดยยืนยันหนักแน่นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวแตกต่างจากรายงานของสื่อบางสำนักอย่างมีนัยสำคัญ
นายปรีชาเปิดเผยจากการตรวจสอบข้อมูลร่วมกับทีมงานเกาหลีใต้ว่า ประเด็นดังกล่าวแท้จริงแล้วคือการที่ "อัพบิต เกาหลี ตรวจพบและรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยความสมัครใจ" ไม่ใช่การถูกกล่าวโทษหรือบ่งชี้ถึงการกระทำผิดใด ๆ โดยเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานเชิงรุกและการรักษาระดับมาตรฐานการกำกับดูแลที่เข้มข้น
ปฏิบัติการเชิงรุก "ดักจับกลุ่ม Huione ก่อน FinCEN สหรัฐฯ ประกาศ"
เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม 2025 เมื่อระบบตรวจสอบภายในของ อัพบิต เกาหลี สามารถตรวจพบบัญชีลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่อการฟอกเงินซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่ม Huione จากประเทศกัมพูชา จำนวนถึง 259 บัญชี ทางบริษัทได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วด้วยการ ระงับธุรกรรม ตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าในระดับเข้มข้น (Enhanced Customer Due Diligence) และรายงานธุรกรรมต้องสงสัยต่อหน่วยงานรัฐของเกาหลีใต้ในทันที
ผลจากการตรวจสอบเชิงลึกนำไปสู่การ เพิกถอนการเป็นผู้ใช้งาน 205 ราย ที่ไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของเงินได้อย่างเพียงพอ สิ่งที่ตอกย้ำถึงความรวดเร็วและโปร่งใสในการรายงานคือ การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้น ก่อนที่สำนักงานเฝ้าระวังอาชญากรรมทางการเงินของสหรัฐฯ (FinCEN) จะประกาศระบุให้กลุ่ม Huione จากกัมพูชาเป็นนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินถึงสองเดือน นอกจากนี้ ธุรกรรมของลูกค้าที่ต้องสงสัยยังอยู่ในวงเงินที่ต่ำกว่าเกณฑ์ของกฎหมาย Travel Rule ของเกาหลีใต้ ซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการตามกฎหมาย
บทบาทตำรวจเกาหลี ตรวจสอบเพื่อเสริมหลักฐาน ไม่ใช่กล่าวโทษ
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเกาหลีใต้เข้าตรวจสอบข้อมูลลูกค้าในเดือนตุลาคม 2025 เป็นเพียงการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเท่านั้น ไม่ได้เป็นการกล่าวโทษหรือบ่งชี้ถึงการกระทำผิดใด ๆ ทั้งสิ้น โดยจากผลการตรวจสอบพบว่ามีธุรกรรมรวม 8.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 5 แห่งทั่วเกาหลี ซึ่งในจำนวนนี้ อัพบิต เกาหลีมีส่วนเกี่ยวข้องเพียง 3% หรือราว 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับภาพรวมของตลาด
อัพบิต ไทย ยกระดับมาตรฐาน AML/CFT ขานรับความเสี่ยงข้ามพรมแดน
แม้กรณีดังกล่าวจะเกิดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่นายปรีชากล่าวเพิ่มเติมว่า อัพบิต ประเทศไทยยังคงดำเนินมาตรการด้านการกำกับดูแลและป้องกันความเสี่ยงอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกัน โดยจากการตรวจสอบบัญชีต้องสงสัยกว่า 200,000 บัญชีที่ได้รับจากหน่วยงานตำรวจ พบว่ามีลูกค้าที่ตรงกับรายชื่อไม่ถึง 30 บัญชี และบัญชีเกือบทั้งหมดได้ถูกระงับการใช้งานไปก่อนที่รายชื่อจะถูกส่งมาจากหน่วยงานภาครัฐ
สิ่งสำคัญที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการป้องกันการฟอกเงินคือ แม้ว่ากฎหมายไทยจะยังไม่มีการบังคับใช้ Travel Rule อย่างเป็นทางการ แต่ อัพบิต ประเทศไทย เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศที่นำระบบดังกล่าวมาใช้ตั้งแต่ปี 2021 เพื่อป้องกันการฟอกเงินและธุรกรรมที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
“เราเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยั่งยืน ต้องเริ่มจากความโปร่งใสและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อัพบิตจะเดินหน้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อสร้างระบบที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือสำหรับนักลงทุนทุกคน” นายปรีชากล่าวทิ้งท้าย โดยเน้นย้ำพันธกิจที่ไม่ได้จำกัดแค่การเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความยั่งยืน โดย อัพบิต ประเทศไทยยังเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในไทยที่ได้รับการรับรองเป็น “วิสาหกิจสีเขียว NET ZERO” เมื่อเดือนมีนาคม 2024 อีกด้วย


