xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.57-เคลื่อนไหว Sideways Up ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(5พ.ย.68)ที่ระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.70 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.51-32.64 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

นอกจากนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินในช่วงคืนที่ผ่านมา ก็มีส่วนช่วยหนุนเงินดอลลาร์ ผ่านความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดจะเข้าสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่ราคาทองคำ (XAUUSD) กลับเผชิญแรงขายต่อเนื่อง จนปรับตัวลดลงหลุดโซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง และเป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ที่จะรับรู้ในช่วงราว 20.15 น. ตามเวลาประเทศไทย และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ซึ่งจะรับรู้ในช่วง 21.00 น. พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม การพิจารณาไต่สวนคดีเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court)

ส่วนในฝั่งจีนนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการบริการ โดย RatingDog (เดิม Caixin) ซึ่งจะสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคบริการในส่วนของธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง เป็นส่วนใหญ่

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown เป็นวันที่ 35 และมีแนวโน้มที่ภาวะ Government Shutdown ในครั้งนี้ อาจยาวนานเป็นประวัติการณ์ได้

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง และอาจเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินผันผวนและเข้าสู่ช่วงภาวะปิดรับความเสี่ยง

อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งจะขึ้นกับการทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงนี้ ออกมาแย่กว่าคาด ก็จะทำให้ ผู้เล่นในตลาดกลับมาทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้ เงินดอลลาร์ย่อตัวลงได้บ้าง ในทางกลับกัน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาดต่อเนื่อง (สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวขึ้นของดัชนี US Economic Surprise ซึ่งดูได้ในรายงาน Week Ahead ของเราในวันจันทร์ที่ผ่านมา) ก็สามารถหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้ไม่ยาก ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม

โดยเรามองว่า ในช่วงคืนนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรับรู้ รายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ซึ่งแม้ว่า ในอดีตที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลดังกล่าวมากนัก เนื่องจากสุดท้ายก็จะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานจากทาง BLS อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls, NFP) ทำให้สถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) แกว่งตัวในระดับ +/-1 SD หลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว 30 นาที ราว +0.05%/-0.12% ซึ่งน้อยกว่า การแกว่งตัวหลังรับรู้รายงาน NFP อย่างเห็นได้ชัด แต่เนื่องจากตลาดจะยังไม่ได้รับรู้รายงาน NFP จนกว่าภาวะ Government Shutdown จะสิ้นสุดลง ทำให้ เรามองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงที่อาจผันผวนในกรอบที่กว้างมากขึ้น เช่นระดับ +/- 2SD หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP

และที่สำคัญ เราขอเน้นย้ำว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ก็อาจถูกจำกัดลง และเงินดอลลาร์ก็มีความเสี่ยงย่อตัวลงได้บ้าง จากประเด็นการพิจารณาคดีเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ซึ่งจะเริ่มการไต่สวนในวันที่ 5 พฤศจิกายน นี้ โดยหากเริ่มมีแนวโน้มที่ศาลสูงสุดจะยืนคำตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act 1977 (IEEPA) ซึ่งอาจนำไปสู่การระงับมาตรการภาษีนำเข้าและมีโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องชดเชยภาษีนำเข้าที่ได้เรียกเก็บก่อนหน้า ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง (Fiscal Concerns) ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น จากแรงขายบอนด์ระยะยาวสหรับฯ ก็ตาม ส่วนราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้
กำลังโหลดความคิดเห็น