xs
xsm
sm
md
lg

ก.ล.ต. ล้อมคอก 'TouristDigiPay' สกัดเงินสีเทา ห้ามใช้ซื้อทอง-อัญมณี สอดคล้องตัวเลขใช้จ่ายท่องเที่ยว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ก.ล.ต. เปิดฉากทดสอบโครงการ “TouristDigiPay” รับนักท่องเที่ยวช่วง High Season ปลายปีนี้ ชูธงหนุนนวัตกรรมกระตุ้นท่องเที่ยว พร้อมวางกลไกบริหารความเสี่ยงเข้มข้น ดึงเครื่องมือ Blockchain Forensics Tools ตรวจสอบเส้นทางสินทรัพย์ดิจิทัลแบบเรียลไทม์ เจาะลึกแหล่งที่มาของคริปโทอย่างละเอียด กำหนดวงเงินใช้จ่ายสูงสุด 5 แสนบาทต่อเดือน และห้ามซื้อสินค้าความเสี่ยงสูง อาทิ ทองคำ เพชรพลอย และคาสิโน เป็นการยืนยันจุดยืนชัดเจน ไม่ยอมให้สินทรัพย์ดิจิทัลกลายเป็นช่องทางฟอกเงินในระบบเศรษฐกิจไทย

TouristDigiPay กับด่านสกัด "คริปโทสีเทา" ก.ล.ต. สวมเกราะป้องกันการฟอกเงิน

หลังจากโครงการทดสอบการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือ “TouristDigiPay” เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในการจับจ่ายใช้สอยด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะปักธงให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 4 เพื่อให้ทันรองรับนักท่องเที่ยวในช่วง High Season ปลายปีนี้ โดย ก.ล.ต. ได้ออกหลักเกณฑ์รองรับ และเปิดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ประกอบธุรกิจเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) สมัครเข้าร่วมโครงการ

การเดินหน้าในครั้งนี้ ก.ล.ต. ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการส่งเสริมการนำนวัตกรรมและสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเท่านั้น แต่ยังคงไว้ซึ่งมาตรการในการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม หนึ่งในนั้นคือ การป้องกันการฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลหรือที่คนทั่วไปมักเรียกกันว่า “คริปโต” ด้วยการเตรียมการเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ในทางที่ผิด (misuse) โดยเริ่มตั้งแต่นักท่องเที่ยวเดินทางถึงประเทศไทยจนกระทั่งเดินทางกลับ ซึ่งสะท้อนความรอบด้านในการกำกับดูแล

เปิดกระเป๋าด้วย KYC/CDD ขั้นสูงสุด สกัดลูกค้าที่มีความเสี่ยง

มาตรการสกัดกั้นเริ่มต้นที่ด่านแรก คือ การรู้จักลูกค้า (Know Your Customer: KYC) และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Customer Due Diligence: CDD) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ผู้ให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ประกอบธุรกิจบริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ใช้เพื่อตรวจสอบตัวตนของลูกค้า ภายใต้หลักเกณฑ์ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ก.ล.ต. กำหนด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ประกอบธุรกิจที่ให้บริการ TouristDigiPay จะต้องตรวจสอบตัวตนของลูกค้าตาม เกณฑ์ความเสี่ยงสูงสุดของ ปปง. ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลผ่านเอกสารและข้อมูลชีวมิติ (Biometrics) ของลูกค้าแต่ละรายอย่างเข้มข้น ก่อนอนุญาตให้เปิด wallet 2 กระเป๋า คือ 1) กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล และ 2) กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์สำหรับนักท่องเที่ยว (tourist wallet) การทำ KYC/CDD ในระดับสูงสุดนี้ ทำให้ทราบวัตถุประสงค์และธุรกรรมที่ดำเนินอยู่ของผู้ใช้บริการอย่างชัดเจน และป้องกันการปลอมแปลงหรือใช้ข้อมูลบุคคลอื่นในการทำผิดกฎหมาย

ใช้ Blockchain Forensics Tools ไล่ล่าเส้นทางคริปโทสีเทา

หัวใจสำคัญในการสกัดกั้น "คริปโทสีเทา" คือ การตรวจสอบแหล่งที่มาของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างละเอียดผ่าน Blockchain Forensics Tools ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลใช้ในการตรวจสอบความเชื่อมโยงกับธุรกิจผิดกฎหมายและการฟอกเงิน เครื่องมือดังกล่าวจะช่วยในการวิเคราะห์ธุรกรรม (Transaction Analysis) ตลอดจนติดตามเส้นทางของสินทรัพย์ดิจิทัล (Tracing Funds) และการฝากหรือถอนเงินจากศูนย์ซื้อขาย (Exchange) นายหน้าซื้อขาย (Broker) และผู้ค้า (Dealer) สินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อตรวจหา wallet ที่เกี่ยวพันกับการฟอกเงินหรือการกระทำความผิด การใช้เทคโนโลยีนี้ทำให้มั่นใจว่า การทดสอบ TouristDigiPay จะไม่เปิดช่องทางให้มิจฉาชีพเข้ามาใช้ในการฟอกเงินได้โดยง่าย

จำกัดวงเงินและสินค้าความเสี่ยงสูงให้สอดคล้องวัตถุประสงค์

เพื่อจำกัดความเสี่ยงด้านการฟอกเงิน และทำให้การใช้จ่ายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ธปท. และ ก.ล.ต. ได้จำกัดวงเงินในขั้นตอนต่าง ๆ โดยมีการจำกัดการขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อแปลงเป็นเงินบาทและเติมเข้าไปใน Tourist Wallet ได้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือนต่อบัญชี

สำหรับวงเงินผ่านการสแกน QR code Promptpay เพื่อใช้จ่าย มีการกำหนดอย่างรัดกุม

จำกัดวงเงินการใช้จ่าย 500,000 บาท/เดือน/บัญชี สำหรับร้านค้าที่ใช้ Merchant QR

จำกัดวงเงินการใช้จ่าย 50,000 บาท/เดือน/บัญชี สำหรับร้านค้ารายย่อยทั่วไป (ที่ใช้ Personal QR)

วงเงินดังกล่าวมีฐานอ้างอิงจากตัวเลขการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในปีที่ผ่านมา (ราว 5,000 บาทต่อวัน) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามาตรการนี้ถูกออกแบบมาอย่างมีตรรกะและสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวจริง

ที่สำคัญที่สุด TouristDigiPay จะไม่สามารถใช้จ่ายที่ร้านค้าที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกใช้เป็นช่องทางการฟอกเงิน ได้แก่ ทองคำ อัญมณี เพชรพลอย พระเครื่อง ของเก่า คาสิโน หรือ สถานบริการ เป็นต้น ซึ่งเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อสกัดกั้นการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในธุรกรรมที่อาจนำไปสู่การฟอกเงิน

ตอกย้ำหลักการ "เข้ามาทางไหน กลับไปทางเดิม"

มาตรการสุดท้ายคือกลไกการนำเงินที่เหลือกลับประเทศ หากนักท่องเที่ยวเหลือเงินใน Tourist Wallet และไม่ต้องการใช้จ่ายแล้ว จะต้องนำเงินจำนวนที่เหลือไปซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลคืน ผ่านบัญชีที่ได้เปิดไว้กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ตอนขาเข้าประเทศ) โดยผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะโอนกลับไปยัง wallet นักท่องเที่ยวต่างชาติโอนเข้ามา โดยมีข้อกำหนดว่า มูลค่ารวมที่แลกคืนต้องไม่เกินมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่แลกเข้ามา ซึ่งเป็นหลักการที่เด็ดขาดในการป้องกันการใช้ช่องทางนี้เพื่อโอนเงินบาทที่อาจมาจากแหล่งอื่นออกนอกประเทศ

ทั้งหมดนี้คือมาตรการที่ ก.ล.ต. และหน่วยงานพันธมิตรเตรียมพร้อมสำหรับ TouristDigiPay ที่จะทดสอบการให้บริการในระยะเวลา 18 เดือนต่อจากนี้ โดยหวังว่าจะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว และปูทางไปสู่พัฒนาการของนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงสนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการรายย่อยอย่างทั่วถึง พร้อมกันนั้นยังคงไว้ซึ่งเกราะป้องกันอันแข็งแกร่งไม่ให้ไทยเป็นทางผ่านของเงินสีเทาและมิจฉาชีพ

บทความโดย ฝ่ายนโยบายสินทรัพย์ดิจิทัล สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)


กำลังโหลดความคิดเห็น