Google Quantum AI เผยแนวคิดปฏิวัติวงการการเงินดิจิทัล ด้วยการรื้อฟื้นไอเดีย “Quantum Money” ที่เคยถูกเสนอในทศวรรษ 1960 ขึ้นมาใหม่ โดยชี้ว่าอนาคตของระบบการเงินอาจไม่ได้อยู่ในมือของโค้ดอีกต่อไป แต่จะอยู่ในมือของกฎฟิสิกส์ที่ไม่อาจปลอมแปลงได้
เมื่อฟิสิกส์ขยับท้าทายโค้ด
กว่าทศวรรษที่ผ่านมา ระบบเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ และบล็อกเชนถือเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก ที่ใช้ “รหัส” และ “บัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์” สร้างความขาดแคลนดิจิทัลและป้องกันการปลอมแปลง แต่ล่าสุด Google Quantum AI ร่วมกับมหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสติน และสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งสาธารณรัฐเช็ก ได้นำเสนอแนวทางใหม่ในงานวิจัยชื่อ “Anonymous Quantum Tokens with Classical Verification” ที่อาจทำให้เทคโนโลยีบล็อกเชนกลายเป็นอดีต
แนวคิดนี้ชี้ว่า “เงิน” ไม่จำเป็นต้องเป็นข้อมูลในบัญชีอีกต่อไป แต่สามารถเป็น “วัตถุควอนตัม” ที่มีตัวตนเฉพาะซึ่งไม่สามารถคัดลอกได้ เพราะธรรมชาติของมันถูกกำหนดโดยกฎของจักรวาล
เงินที่ไม่อาจทำปลอมได้ "ด้วยพลังแห่ง No-Cloning Theorem"
หัวใจของแนวคิดนี้คือหลักการทางฟิสิกส์ที่เรียกว่า No-Cloning Theorem ซึ่งระบุว่าการสร้างสำเนาที่สมบูรณ์ของสถานะควอนตัมที่ไม่รู้จักนั้น “เป็นไปไม่ได้” ต่างจากข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่คัดลอกได้ไม่จำกัด หากธนบัตรหนึ่งใบถูกแทนด้วยสถานะควอนตัม จะไม่มีใครสามารถทำสำเนาได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งหมายความว่า “การปลอมเงิน” จะถูกตัดขาดตั้งแต่ระดับฟิสิกส์
ดาร์ กิลโบอา (Dar Gilboa) นักวิจัยจาก Google Quantum AI เปิดเผยกับ Decrypt ว่า “หากคุณมีธนบัตรควอนตัมหนึ่งใบ คุณสามารถพิสูจน์ได้จากหลักควอนตัมว่าการคัดลอกมันเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพราะในระบบนี้ การปลอมแปลงไม่เพียงยากเหมือนในบิทคอยน์ แต่เป็นสิ่งที่กฎของธรรมชาติ “ไม่อนุญาตให้เกิดขึ้นได้เลย”
บล็อกเชนอาจไม่จำเป็นอีกต่อไป
เทคโนโลยี Quantum Money จึงเข้ามาท้าทายแก่นของระบบบล็อกเชนโดยตรง เพราะบล็อกเชนถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการใช้เหรียญซ้ำ (double-spend) โดยไม่ต้องมีหน่วยงานกลาง ผ่านระบบบัญชีสาธารณะขนาดใหญ่ที่ทุกคนตรวจสอบร่วมกัน แต่หาก “เหรียญดิจิทัล” เองมีคุณสมบัติไม่สามารถคัดลอกได้ทางฟิสิกส์ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้บัญชีบันทึกธุรกรรมแบบเดิมอีกต่อไป
กล่าวได้ว่า Blockchain รักษาความถูกต้องของประวัติธุรกรรม ส่วน Quantum Money รักษาความบริสุทธิ์ของตัวเหรียญเอง ทำให้ระบบตรวจสอบการใช้เงินเป็นกระบวนการทางกายภาพ ไม่ใช่การลงฉันทามติผ่านโหนดทั่วโลก
แต่ความปลอดภัยนี้แลกมาด้วย “ศูนย์กลางอำนาจ”
อย่างไรก็ดี แนวคิด Quantum Money ของ Google ไม่ได้ยึดปรัชญาการกระจายอำนาจเหมือนคริปโทเคอร์เรนซี เพราะระบบนี้ยังต้องมี “ผู้ออกเหรียญกลาง” เช่น ธนาคารหรือสถาบันการเงิน ที่ทำหน้าที่สร้างโทเค็นควอนตัมออกสู่ระบบ อย่างไรก็ตาม ฟิสิกส์จะเป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้ออกเหรียญไม่สามารถโกงได้
ระบบดังกล่าวยังถูกออกแบบให้มีการตรวจสอบความเป็นส่วนตัวของผู้ถือครองได้อย่างเข้มงวด ผ่านกระบวนการ “swap test” ที่ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่าเหรียญของตนถูกติดตามหรือไม่ หากธนาคารพยายามติดแท็กเหรียญ ระบบจะสามารถตรวจจับได้ทันที
เมื่อควอนตัมกลายเป็นภัยคุกคามใหม่ของบิทคอยน์
งานวิจัยนี้ถูกเผยแพร่ในจังหวะเดียวกับที่นักวิจัยหลายสถาบัน เช่น Google, Caltech และ IBM เตือนว่า “Q-Day” วันที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถถอดรหัสระบบเข้ารหัสของบิทคอยน์ได้ อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ รายงานจาก Mysten Labs ชี้ว่า บล็อกเชนบางเครือข่าย เช่น Solana, Sui และ Near อาจรับมือได้ดีกว่าเครือข่ายรุ่นเก่าอย่างบิทคอยน์ และ Ethereum ซึ่งยังใช้ระบบเข้ารหัสแบบ ECDSA ที่เสี่ยงต่อการถูกทำลายด้วยควอนตัม
นักวิเคราะห์เตือนว่า ความกลัวต่อ Q-Day อาจทำให้ตลาดคริปโทปั่นป่วนก่อนที่เทคโนโลยีควอนตัมจะมาถึงจริง ๆ เพราะความตื่นตระหนกของนักลงทุนอาจทำลายความเชื่อมั่นได้ก่อนที่สมการทางฟิสิกส์จะทำงาน
ความหวังแห่งอนาคตแม้ว่าจะอยู่ในขั้นทดลอง
แม้แนวคิด Quantum Money จะยังเป็นเพียงทฤษฎีและอยู่ไกลจากการใช้งานจริง ดาร์ กิลโบอา ยอมรับว่าการสร้างระบบนี้ต้องอาศัยทั้งคอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาดใหญ่ที่มีเสถียรภาพสูงและระบบสื่อสารควอนตัมที่ยังเป็นเพียงแนวคิดในห้องทดลอง แต่ผลวิจัยนี้ได้เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่เนื่องจากโลกที่ “เงินดิจิทัล” จะไม่ได้ถูกปกป้องด้วยรหัสอีกต่อไป แต่ด้วยกฎฟิสิกส์ที่ไม่อาจหลอกลวงได้
“มันคือเครื่องมือที่บ้าคลั่งมาก” กิลโบอากล่าวปิดท้าย “คุณสามารถทำสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ มันคือความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนสูงและนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้มันน่าตื่นเต้น”


