xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.51-รอลุ้นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน-สถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(4พ.ย.68)ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.49 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.70 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 32.43-32.52 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการย่อตัวลงบ้างของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงนี้ ที่ต่างย้ำว่า แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะการประชุม FOMC เดือนธันวาคม โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 66% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธันวาคม และให้โอกาสราว 57% ที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปี 2026

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB อย่าง ประธาน ECB Christine Lagarde และ BOE

ส่วนในฝั่งออสเตรเลียนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.60% แต่อาจมีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมถ้าจำเป็นได้

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown เป็นวันที่ 34 เข้าสู่วันที่ 35 และมีแนวโน้มที่ภาวะ Government Shutdown ในครั้งนี้ อาจยาวนานเป็นประวัติการณ์ได้

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง และอาจเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งขณะเดียวกัน ก็เป็นปัจจัยที่คอยกดดันให้ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลง และยากที่จะเห็นราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นต่อเนื่องได้ ยกเว้นจะเกิดภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงิน หรือปัจจัยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์กลับมาร้อนแรงขึ้นในระยะสั้น

อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจาก ในช่วงภาวะ US Government Shutdown ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดยังคงขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่ได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างมีนัยสำคัญ เช่น โอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคม ก็อาจยังคงสูงกว่าระดับ 50% นอกจากนี้ เรามองว่า ในช่วงระยะสั้น ควรจับตาการพิจารณาคดีเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ซึ่งจะเริ่มการไต่สวนในวันที่ 5 พฤศจิกายน นี้ โดยหากเริ่มมีแนวโน้มที่ศาลสูงสุดจะยืนคำตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act 1977 (IEEPA) ซึ่งอาจนำไปสู่การระงับมาตรการภาษีนำเข้าและมีโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องชดเชยภาษีนำเข้าที่ได้เรียกเก็บก่อนหน้า ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง (Fiscal Concerns) ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น จากแรงขายบอนด์ระยะยาวสหรับฯ ก็ตาม ส่วนราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้

นอกจากนี้ เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดอย่างฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ รวมถึงผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ก็อาจทยอยขายทำกำไร ปรับลดสถานะดังกล่าวได้บ้าง ทำให้ เงินบาท (USDTHB) ยังคงมีโซนแนวต้านในช่วง 32.65 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านแรก และมีโซน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านถัดไป โดยเราจะกลับมาเชื่อว่า เงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.75 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ขณะที่โซนแนวรับของเงินบาทนั้น จะอยู่ในช่วง 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดอย่างฝั่งผู้นำเข้า และมีโซนแนวรับถัดไปในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์
กำลังโหลดความคิดเห็น