การประกาศควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU กับบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP บริษัทลูกที่ BANPU ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 78.66% ของทุนจดทะเบียน กลายเป็นข่าวดีชิ้นใหญ่ที่จุดพลุราคาหุ้นบริษัทแม่และบริษัทลูกคู่นี้ พุ่งทะยานขึ้นขานรับทันที
BANPU และ BPP แจ้งตลาดหลักทรัพย์ก่อนเปิดการซื้อขายหุ้นวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมาถึงมติคณะกรรมการของ 2 บริษัท โดยสาระสำคัญคือ การประกาศควบรวมกิจการ โดยจะตั้งบริษัทใหม่ และเปิดให้ผู้ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัท นำหุ้นแลกกับบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้น ส่วนอัตราส่วนในการแลกหุ้น อยู่ระหว่างการกำหนด
ราคาหุ้น BANPU ที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ มานาน พุ่งทะยานขึ้นขานรับข่าวทันที ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น เช่นเดียวกับหุ้น BPP โดย BANPU ปิดที่ 5 บาท เพิ่มขึ้น 70 สตางค์หรือเพิ่มขึ้น 16.28% ขณะที่ BPP ปิดที่ 12.80 บาท เพิ่มขึ้น 2.60 บาท หรือเพิ่มขึ้น 25.49%
BANPU เข้าตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2532 ส่วน BPP เข้าจดทะเบียน เมื่อ 28 ตุลาคม 2559 หลังจากนำหุ้นเสนอขายประชาชนทั่วไปครั้งแรกในราคาหุ้นละ 21 บาท จากราคา 1 บาท แต่ราคาหุ้นซึมลงมายาวนานหลายปี และไม่อยู่ในความสนใจนักลงทุนมากนัก
จำนวนหุ้นของ BANPU มีทั้งสิ้น 10,018.90 ล้านหุ้น จำนวนหุ้น BPP มีทั้งสิ้น 3,047.73 ล้านหุ้น เมื่อควบรวมแล้ว มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตบลาดหรือมาร์เก็ตแคปในบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่ก็ยังไม่ถึง 1 แสนล้านบาท
แต่จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย จะพุ่งขึ้นเป็นเกือบ 1.2 แสนราย โดย BANPU มีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 106,062 ราย BPP มีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 18,254 ราย และกลายเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนมากที่สุดอีกแห่ง
เหตุผลควบรวม BANPU ระบุว่า โครงสร้างของกลุ่มบริษัทยังไม่เอื้อต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างเต็มศักยภาพ การปรับครงสร้างครั้งนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ และเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินกลยุทธ์พร้อมปรับตำแหน่งทางธุรกิจ (Positioning)
และทิศทางการเติบโตของแต่ละธุรกิจให้มีความชัดเจน สอดคล้องกับ ช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และเพิ่มสัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากธุรกิจที่ไม่ใช่ถ่านหิน (Non-coal) โดยบริษัทฯ คาดว่าธุรกรรมการ ควบบริษัทจะมีประโยชน์ต่อบริษัท ฯ ในด้านกลยุทธ์โครงสร้างและการบริหารจัดการของกลุ่มบริษัท
การควบรวมบริษัทในกลุ่มเดียวกัน เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้าแล้ว ล่าสุดคือ การควบรวมระหว่าง บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH กับบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF โดยตั้งเป็นบริษัทใหม่เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 โดยบริษัทใหม่ยังใช้ชื่อย่อเดิมคือ GULF
กระแสการควบรวมกิจการบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มธุรกิจเดียวกันที่แนวโน้มมากขึ้น ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์ ฯ ไม่ควรวางเฉย แต่ควรใส่ใจพิจารณาทบทวนนโยบายการอนุมัติการเสนอขายหุ้นของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนและการรับบริษัทจดทะเบียนใหม่ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนที่แตกลูกแตกหลาน และนำหุ้นลูกหุ้นหลานเข้ามาจดทะเบียนตาม
หุ้นบริษัทจดทะเบียนบางกลุ่มธุรกิจ นำหุ้นตัวแม่เข้ามาจดทะเบียน และมีพฤติกรรมปั่นหุ้น แต่ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ยังก้มหน้าก้มตา ปล่อยให้บริษัทลูกและบริษัทหลาน ตามเข้ามาจดทะเบียนอีก สร้างความเสียหายซ้ำรอย
หุ้นบางกลุ่ม ปัจจุบัน ทั้งหุ้นตัวแม่ หุ้นตัวลูกและหุ้นตัวหลาน กลายเป็นหุ้นตายซากคากระดานหุ้นทั้งตระกูล นักลงทุนคนใดที่พัดหลงเข้าไปซื้อหุ้นเน่า ๆ กลุ่มเหล่านี้ เจ๊งวายวอดทุกราย
ตลาดหุ้นในบางประเทศ ไม่ยอมให้บริษัทในเครือของบริษัทจดทะเบียน เข้ามาจดทะเบียนซ้ำซ้อน โดยเมื่อบริษัทแม่เข้ามาระดมทุนแล้ว จะนำบริษัทลูก บริษัทย่อย หรือบริษัทในเครือเข้ามาจดทะเบียนอีกไม่ได้
แต่ตลาดหุ้นไทยเปิดกว้าง จะหอบลูกจูงหลานหรือคลอดเหลนเข้ามาจดทะเบียน ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์อ้าแขนรับหมด
การควบรวมระหว่าง BANPU กับ BPP เป็นการตอกย้ำว่า การควบรวมธุรกิจในกลุ่ม ดีกว่าการแตกตัวขยายเครือข่ายตั้งเป็นหลายบริษัท ซึ่ง ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ต้องทบทวนนโยบายการเปิดรับหุ้นใหม่เข้ามาระดมทุน โดยระงับการรับหุ้นบริษัทในเครือของบริษัทจดทะเบียนเดิม เพราะสุดท้ายจะประกาศควบรวมกิจการ หลังผู้ถือหุ้นใหญ่ตักตวงผลความมั่นคั่งในตลาดหุ้นจนเต็มอิ่มแล้ว
เช่นเดียวกับหุ้น BANPU และ BPP ที่ข่าวควบรวมหุ้นในเครือคู่นี้ ถือเป็นข่าวดี ทำให้นักลงทุนจำนวน 1.21 แสนคนเหมือนถูกหวย
แต่ภาพลบในทางตรงกันข้ามคือ ถ้าการควบรวมกิจการ ส่งผลดีต่อศักยภาพการดำเนินงาน ทำไมจึงแตกบริษัท ส่งบริษัทลูกบริษัทหลานเข้ามาสูบเงินในตลาดหุ้น


