xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.33-แข็งค่าตามราคาทองคำรีบาวด์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(29ต.ค.68)ที่ระดับ 32.33 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.44 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.20-32.55 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น หลุดโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ และสามารถทดสอบโซนแนวรับถัดไปในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้ (แกว่งตัวในกรอบ 32.27-32.50 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถกลับมาทรงตัวเหนือโซน 3,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง จากที่เผชิญแรงขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง จนราคาทองคำหลุดระดับ 3,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยผู้เล่นในตลาดต่างยังคงมั่นใจต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ตามที่ตลาดได้คาดหวังไว้

ขณะเดียวกัน ความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ก็หนุนให้เงินหยวนจีน (CNY) ทยอยแข็งค่าขึ้น และมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินเอเชีย อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง แถวโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดช่วงปลายเดือน

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุม FOMC เดือนตุลาคม ของเฟด ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ นี้ ตามเวลาประเทศไทย โดยบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (รวมถึงเรา) และบรรดาผู้เล่นในตลาดต่าง ประเมินว่า เฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.75-4.00% เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังตลาดแรงงานสหรัฐฯ ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ แม้จะอยู่ในระดับสูง แต่ก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงได้ และยังไม่ได้เผชิญผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ มากนัก ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาการส่งสัญญาณของเฟดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต และการปรับลดงบดุล (Quantitative Tightening) โดยผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในช่วง Press Conference (01.30 น.) อย่างใกล้ชิด

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาท (USDTHB) ตั้งแต่ช่วงวันก่อนหน้า (ซึ่งเรามองว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากโฟลว์ธุรกรรมทองคำ ที่มีแต่คนขายทองคำอย่างต่อเนื่อง หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงจนหลุดโซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์) จนหลุดโซนแนวรับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ ได้ทำให้ เงินบาทกลับเข้าสู่แนวโน้มการแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways หากประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following

อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงนี้ อาจชะลอลงบ้าง ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนจากบรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งผู้นำเข้า ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ ก็อาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน เพื่อรอรับรู้ ทั้ง ผลการประชุม FOMC ของเฟด รายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ และการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงวันพฤหัสฯ นี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของเงินบาทอย่างชัดเจนและมีนัยสำคัญ อาจจะเกิดขึ้นในช่วงวันพฤหัสฯ เป็นต้นไปมากกว่า ทำให้ เงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ชัดเจน (แนวรับถัดไป 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวต้านอาจขยับลงมาแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจสอดคล้องกับการปรับโซนทยอยขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก และฝั่งผู้เล่นที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง)

ทั้งนี้ เงินบาทก็อาจพอได้แรงหนุนบ้าง จากทั้งการทยอยแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินเอเชีย โดยเฉพาะ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และเงินหยวนจีน (CNY) จากความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน นอกจากนี้ การรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ ก็มีส่วนช่วยหนุนเงินบาทได้เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากในช่วงคืนที่ผ่านมา ทว่า เราคงมุมมองเดิมว่า ควรระวังจังหวะการปรับตัวลงของราคาทองคำ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ไม่ยาก หากบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ซึ่งต้องรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ ส่วนประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนนั้น เรามองว่า ตลาดได้รับรู้ข่าวดีต่อประเด็นดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว ทำให้สิ่งที่ต้องระวัง คือ ความผิดหวังต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอาจทำให้ ตลาดกลับมากังวลประเด็นสงครามการค้าอีกครั้ง และอาจเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศในตลาดการเงิน แต่อาจหนุนให้ ราคาทองคำสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องได้ (ควรจะช่วยหนุนเงินบาทบ้าง หรืออย่างน้อยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้)
กำลังโหลดความคิดเห็น