S&P Global Ratings ประกาศจัดอันดับเครดิต “B-” ให้บริษัท Strategy ของไมเคิล เซย์เลอร์ หรืออดีต MicroStrategy หลังพบโครงสร้างงบการเงินพึ่งพาแต่บิทคอยน์เกือบทั้งหมด พร้อมเตือนความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ดอลลาร์และความผันผวนของตลาดคริปโต แม้ยังคงมุมมอง “คงที่” ต่อแนวโน้มบริษัท
S&P Global Ratings จัดอันดับเครดิต “B-” ให้กับ Strategy บริษัทของมหาเศรษฐีไมเคิล เซย์เลอร์ ซึ่งเป็นระดับ "เกรดขยะ (junk grade)" สะท้อนถึงความเสี่ยงเชิงโครงสร้างจากการถือครองบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์หลัก ขณะที่ภาระหนี้และหุ้นบุริมสิทธิของบริษัทถูกกำหนดในสกุลดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เกิดความไม่สมดุลของสกุลเงินอย่างชัดเจน
ในรายงานของ S&P ระบุว่า Strategy ซึ่งปรับโครงสร้างจากบริษัทซอฟต์แวร์รายเดิมมาเป็นบริษัทลงทุนบิทคอยน์เต็มตัว ได้รับเรตติ้งดังกล่าวเนื่องจากมี “ความเสี่ยงสูงจากการกระจุกตัวของสินทรัพย์ การขาดความหลากหลายทางธุรกิจ และสภาพคล่องในดอลลาร์ที่อ่อนแอ” โดยระบุว่าบริษัทมีแนวโน้มคงที่ในระยะสั้น หากยังสามารถเข้าถึงตลาดทุนเพื่อรีไฟแนนซ์หนี้ตามกำหนดได้ต่อเนื่อง
Bitcoin คือจุดแข็งและจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน ความเสี่ยงสูงจากความผันผวนและนโยบายรัฐ
S&P วิเคราะห์ว่า จุดเด่นของ Strategy ในฐานะผู้ถือครองบิทคอยน์รายใหญ่ของโลก กลับเป็นทั้ง “ข้อได้เปรียบและจุดเปราะบางที่สุด” ในเวลาเดียวกัน เพราะงบดุลของบริษัทเกือบทั้งหมดผูกกับราคาคริปโต ซึ่งอ่อนไหวต่อความผันผวนของตลาดและการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายของภาครัฐ
S&P ยังชี้ถึงโครงสร้างที่ไม่สมดุล โดยสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในรูปบิทคอยน์แต่หนี้สินและหุ้นบุริมสิทธิกลับกำหนดเป็นดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เสี่ยงต่อความผันผวนของค่าเงินและสภาพคล่องในช่วงตลาดขาลง
ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทถือครองบิทคอยน์มูลค่าราว 70 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่หนี้แปลงสภาพรวมกว่า 8 พันล้านดอลลาร์ จะครบกำหนดตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป S&P ระบุว่า ความสามารถของบริษัทในการจัดการภาระหนี้ผ่านตลาดทุนเป็นปัจจัยสำคัญที่ยังคงแนวโน้ม “เสถียร” ไว้ได้
โครงสร้างทุนเปราะบาง แม้กำไรพุ่งจากราคาคริปโต แต่ฐานเงินสดยังติดลบ
นักวิเคราะห์ของ S&P เตือนว่า ฐานทุนที่ปรับปรุงแล้วของ Strategy ยัง “ติดลบอย่างมีนัยสำคัญ” เนื่องจากเมื่อคำนวณตามหลักการของ S&P จะหักมูลค่าบิทคอยน์ออกจากส่วนของผู้ถือหุ้น ทำให้ฐานทุนที่แท้จริงของบริษัทอ่อนแอในเชิงโครงสร้าง
รายงานระบุว่า อัตราทุนปรับความเสี่ยง (risk-adjusted capital ratio) ของบริษัทในช่วงกลางปี 2568 อยู่ในระดับติดลึก เนื่องจากความผันผวนของสินทรัพย์และการที่บิทคอยน์ไม่ให้ผลตอบแทนกระแสเงินสด
ธุรกิจหลักด้านซอฟต์แวร์ของบริษัท ซึ่งยังให้บริการด้านวิเคราะห์ข้อมูลแก่ภาคธุรกิจ ยังคงทำกำไรเพียงเล็กน้อยและแทบไม่สร้างกระแสเงินสดเพิ่ม ในครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทมี กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ 37 ล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรก่อนหักภาษีราว 8.1 พันล้านดอลลาร์ มาจากกำไรทางบัญชีจากราคาของบิทคอยน์เกือบทั้งหมด
มูลค่าตลาดกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ สะท้อนแรงเชื่อมั่นนักลงทุน แม้ความเสี่ยงกระจุกตัวสูง
S&P ยังชี้ถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดย Strategy กระจายการถือครองบิทคอยน์ผ่านผู้ดูแลสินทรัพย์หลายราย แต่มีวงเงินประกันครอบคลุมน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่ารวม หากเกิดการสูญหายของคีย์ส่วนตัวหรือความล้มเหลวของผู้ดูแล อาจกระทบสภาพคล่องของบริษัทโดยตรง
แม้มีความเสี่ยงเหล่านี้ S&P ยอมรับว่าบริษัทมีวินัยด้านการจัดการหนี้ดี และมีช่องทางเข้าถึงตลาดทุนที่แข็งแกร่ง Strategy สามารถรีไฟแนนซ์หนี้ระยะสั้นด้วยหุ้นและตราสารหนี้แปลงสภาพอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีหนี้ที่จะครบกำหนดในระยะใกล้ มูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ราว 80 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงบิทคอยน์ ผ่านตราสารในตลาดทุนแบบดั้งเดิม
แนวโน้มคงที่แต่ยังเปราะบาง อนาคตขึ้นกับสภาพคล่องดอลลาร์และช่องทางตลาดทุน
S&P ระบุว่า แม้ Strategy ยังสามารถรับมือกับภาระทางการเงินได้ในปัจจุบัน แต่โครงสร้างสภาพคล่องยังตึงตัวจากภาระเงินปันผลหุ้นบุริมสิทธิกว่า 640 ล้านดอลลาร์ต่อปี แม้ยอดนี้ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับสินทรัพย์บิทคอยน์ทั้งหมดของบริษัท
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทตัดสินใจเลื่อนจ่ายเงินปันผล จะส่งผลด้านธรรมาภิบาลทันที เช่น การเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์มีสิทธิ์แต่งตั้งกรรมการในบอร์ดเพิ่มขึ้น
S&P สรุปว่า โอกาสในการปรับอันดับขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้ายัง “ต่ำมาก” เว้นแต่บริษัทจะสามารถเพิ่มสภาพคล่องดอลลาร์ และลดการพึ่งพาหนี้แปลงสภาพได้ ส่วนความเสี่ยงต่อการปรับลดอันดับจะเกิดขึ้น หาก Strategy สูญเสียช่องทางเข้าถึงตลาดทุน หรือราคาของบิทคอยน์ดิ่งลงอย่างรุนแรง


