“ท่าอากาศยานไทย” ไม่หวั่นปัจจัยลบ! คาดไตรมาส 1/69 (High Season) ผลประกอบการแกร่ง แม้ราคาหุ้นแกว่ง, นักลงทุนลุ้นปรับขึ้นค่า PSC ดันกำไรในระยะยาว แต่ต้องจับตาข้อสรุปแก้สัญญาดิวตี้ฟรี 'King Power' ที่อาจกระทบรายได้
แม้ราคาหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ในช่วงเดือนตุลาคม 2568 จะปรับตัวไม่มาก เมื่อเทียบกับโอกาสในการเติบโตในช่วง High Season ไตรมาส1/69 (ต.ค.68-ธ.ค.68) แต่ก็ไม่ควรมองข้ามหุ้นสนามบินที่หลายต่อหลายคนเชื่อว่าปี 2569 จะเป็นปีที่ดีของบริษัท หลังจากปี 2568 ต้องเผชิญปัญหาการชะลอตัวของนักท่องเที่ยว รวมถึงรายได้ที่หดตัวของธุรกิจ Non-Aeronautical (รายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน)
โดยราคาหุ้น AOT ล่าสุด (24ต.ค.)ปิดที่ 39.75 บาท ลดลงจากช่วงต้นเดือน (1-3 ต.ค.) ซึ่งทำราคาสูงสุดที่ 44.00 บาท โดยประเด็นที่นักลงทุนกำลังติดตามในช่วงนี้ คือการเตรียมเสนอขอปรับขึ้น Passenger Service Charge (PSC) ซึ่งคาดว่าจะมีการประชุมพิจารณาในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ถือเป็นปัจจัยบวกที่นักวิเคราะห์มองว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนกำไรของ AOT ในอนาคต
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากปัจจัยที่เข้ามากดดัน AOT ในปีนี้ อย่างปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ King Power และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงในช่วงก่อนหน้า พบว่า ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งเคยอยู่ที่ 30.50 บาท หรือไม่น้อยกว่า 30%
คาดหวังHigh Season
นั่นทำให้เริ่มมีการคาดหวังว่าไตรมาส 1/69 (ต.ค. - ธ.ค. 68) จะเป็นช่วงที่มีผลประกอบการของ AOT แข็งแกร่งที่สุด เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยวไทย โดยปัจจัยบวกหลักที่ขับเคลื่อนคือ จำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินเพิ่มขึ้น เนื่องจากไตรมาสนี้เป็นฤดูท่องเที่ยวหลัก (Peak Season) จึงคาดว่าจำนวนผู้โดยสารรวม (ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ) จะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากกิจการการบิน (Aeronautical) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน ยังมีการคาดหวังต่อการฟื้นตัวของธุรกิจที่ไม่ใช่การบิน โดยมีเหตุผลจากการที่ผู้โดยสารเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะส่งผลบวกต่อรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Non-Aeronautical) เช่น รายได้จากส่วนแบ่งผลประโยชน์ร้านค้าปลอดภาษีและค่าเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของตลาดจีน เพราะหากการท่องเที่ยวจากประเทศจีนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญมากสำหรับจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศ
นอกจากนี้คือ การปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับ AOT อย่างมากในระยะยาว แต่การปรับขึ้นค่า PSC (ทั้งระหว่างประเทศและในประเทศ) คาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้จริงใน เดือนเมษายน 2569 (ไตรมาส 3/2569) ดังนั้นจึงอาจยังไม่มีผลบวกต่อผลประกอบการในไตรมาส 1/2569 โดยตรง
จับตาแก้สัญญาดิวตี้ฟรี
ส่วนปัจจัยลบที่หลายฝ่ายจับตา คือ การแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี (King Power) ถือเป็นประเด็นที่มีความผันผวนสูง โดย AOT อยู่ระหว่างการเจรจาหรือรอข้อสรุปเรื่องการปรับรูปแบบการจ่ายค่าสัมปทาน เช่น อาจเปลี่ยนจากการจ่ายแบบ "รายได้ขั้นต่ำ" (Minimum Guarantee: MAG) ไปเป็นการจ่ายแบบ "ส่วนแบ่งรายได้" (Revenue Sharing) หรือมีผลสรุปเรื่องการยกเลิกสัญญา การปรับลดค่าผลประโยชน์ตอบแทน หากผลสรุปออกมาในทิศทางที่รายได้ขั้นต่ำลดลง จะส่งผลกระทบต่อกำไรในไตรมาสนี้และปีงบประมาณ 2569
นั่นทำให้ เริ่มมีการคาดหวังว่า กำไรสุทธิของ AOT ในไตรมาส 1/2569 จะยังคง เติบโต ทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล (High Season) ที่แข็งแกร่งเป็นตัวหลัก แต่ ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดเรื่องข้อสรุปสุดท้ายของการแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับประมาณการกำไรของผู้ประกอบการในระยะต่อไป
ขณะที่แผนการลงทุนของบริษัทที่ต้องติดตาม ได้แก่ การเดินหน้าโครงการสำคัญเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร เช่น โครงการส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และการเตรียมพร้อมสำหรับ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3
ขยับเพิ่มได้จากค่าบริการPSC
ก่อนหน้านี้มีความเห็นจาก บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พาย ว่า แนะนำ ถือหุ้น AOT ให้ราคาเป้าหมายที่ 39 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคาหุ้นปัจจุบันถือว่าเต็มมูลค่าแล้ว อย่างไรก็ตาม AOT มีปัจจัยบวกที่คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงเดือน ต.ค. นี้คือการปรับค่าบริการผู้โดยสารขาออก หรือ PSC ว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเพียงใด ซึ่งจะมาชดเชยกับแนวโน้มรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์จากบริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด หรือ KPD ที่คาดว่าจะเห็นผลการศึกษาออกมาในช่วงเวลา ต.ค. เช่นกัน ทำให้จะต้องดูว่าจะออกมาในรูปแบบใดระหว่างยกเลิกสัญญาประมูลใหม่ ปรับลดค่าผลประโยชน์ตอบแทน
ส่วนเป้าหมายผู้โดยสารในปี 2569( ต.ค. 2568-ก.ย.2569) เบื้องต้น AOT คาดเติบโตจากปี 2568 ประมาณ 7% มาอยู่ที่ 135.3 ล้านคน โดยจำนวนผู้โดยสารรวมในปี 2568 คาดอยู่ที่ 125.98 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน แต่ต่ำกว่าเป้าที่เคยตั้งไว้ตอนต้นปี ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวทำให้ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 4/68 อยู่ที่ 3,271 ล้านบาท ลดลง 23% YoY และลดลง 15% QoQ เนื่องจากผู้โดยสารที่ลดลง โดยเฉพาะเส้นทางระหว่างประเทศ ที่ทำให้รายได้ลดลง 9% YoY นอกจากนี้ไตรมาส 4 มักจะมีค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มเข้ามา จึงเป็นแรงกดดันต่อผลประกอบการอีกทาง
คาดQ4/68กำไรลดลง
ขณะที่บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์หุ้น AOT โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิไตรมาส 4/68 (1 ก.ค.-30 ก.ย.68) อยู่ที่ 3.66 พันล้านบาท ลดลง 14.4% YoY และลดลง 5.4% QoQ ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิทั้งปี 2568 อยู่ที่ 1.79 หมื่นล้านบาท ลดลง 6.6% YoY ซึ่งต่ำกว่าประมาณการกำไรเต็มปีที่ 5.9% ซึ่งผลดำเนินงานไตรมาส 4/68 ไม่น่าตื่นเต้น เนื่องจากเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวไทยชะลอตัวตามฤดูกาล ทำให้กดดันรายได้จากธุรกิจการบิน และธุรกิจที่ไม่ใช่การบิน
โดยคาดว่าจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดในไตรมาส 4/68 อยู่ที่ 28.75 ล้านคน ลดลง 1.4% YoY และลดลง 0.3% QoQ แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 17.17 ล้านคน และผู้โดยสารในประเทศ 11.58 ล้านคน และคาดว่าจำนวนเที่ยวบินทั้งหมดอยู่ที่ 185,833 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 0.9% YoY แต่ลดลง 1.1% QoQ แต่ยังมองว่ายังมี upside จากการปรับขึ้นค่า PSC จึงยังคงประมาณการกำไรทั้งปี 2568 และ 2569 เท่าเดิม
Hubภูมิภาคหนุนเติบโตระยะยาว
ด้าน บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ ซื้อ (Buy) ราคาเป้าหมาย 47.00 บาท ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะพลิกเกมการเติบโตของ AOT คือการปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศและในประเทศ โดยการปรับขึ้นนี้จะส่งผลให้ AOT มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและช่วยหนุนความสามารถในการทำกำไรให้กลับสู่ระดับก่อนช่วงโควิด-19 ได้ภายในปีงบประมาณ 2570 (FY27) แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันจากค่าใช้จ่ายลงทุนที่สูงขึ้น
ขณะเดียวกันฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสำหรับปีงบประมาณ 2569-2571 อย่างมีนัยสำคัญ (เพิ่มขึ้น 23% สำหรับปี 2569) ด้วยแรงหนุนหลักจากการขึ้นค่า PSC และกลยุทธ์ "Smart Investment" ของ AOT ซึ่งรวมถึงการทบทวนแผนแม่บทการลงทุนและการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ มุมมองนี้เน้นย้ำถึงบทบาทของ AOT ในฐานะ "กัปตัน" ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค (Thailand Aviation Hub) ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว
แม้ว่าจะมีประเด็นเรื่องการเจรจาปรับลดผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) ของสัญญาดิวตี้ฟรีกับ King Power ที่อาจทำให้กำไรจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับการบินลดลงในระยะสั้น แต่ผลกระทบเชิงบวกจากการปรับขึ้นค่า PSC นั้นมีน้ำหนักมากกว่าและจะเข้ามาช่วยชดเชยส่วนที่หายไปได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น บล.บัวหลวงจึงมองว่าปัจจัยเสี่ยงด้านการดำเนินงานในปัจจุบันสามารถบริหารจัดการได้ และยังคงให้น้ำหนักกับโอกาสในการเติบโตในอนาคต ทำให้ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "ซื้อ"
. เป็นต้น
ปี68ยังเป็นไปตามเป้า
ขณะที่ บล. ดาโอ (ประเทศไทย) แนะนำ: ถือ (Hold) ราคาเป้าหมาย 38.00 บาท โดยมีมุมมองที่เป็นกลางต่อผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4 ปีงบประมาณ 2568 (ก.ค.-ก.ย. 68) โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะชะลอตัวลงเล็กน้อย ทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) สาเหตุหลักมาจากการเป็นช่วง Low Season ของการท่องเที่ยว และการลดลงของจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศบางส่วน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้โดยสารรวมทั้งปีงบ 2568 ยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมาย
ทำให้ปรับเพิ่มประมาณการจำนวนผู้โดยสารสำหรับปีงบประมาณ 2569 ขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2569 ที่ระดับลดลงเมื่อเทียบกับปี 2568 เนื่องจากการปรับประมาณการได้ รวมผลกระทบด้านลบ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเจรจาปรับลดผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (MG) ของ King Power เข้าไปด้วยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. 68 การรวมปัจจัยลบนี้ทำให้กำไรปี 2569 ถูกกดดัน
ขณะเดียวกันแม้ว่าการปรับเพิ่มค่า PSC จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่มีโอกาสจะสร้าง Upside ให้กับราคาเป้าหมายในอนาคต (คาดว่าทุกการปรับขึ้น PSC 100 บาท จะเพิ่มมูลค่าหุ้นได้ราว 3.00-4.00 บาท) แต่มุมมองในปัจจุบันยังคงแนะนำ "ถือ" โดยมองว่าราคาหุ้นได้ตอบรับความคาดหวังเรื่อง PSC เข้าไปพอสมควรแล้ว และยังมีความไม่แน่นอนจากข้อสรุปการเจรจาสัญญาสัมปทาน ซึ่งทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงใช้ความระมัดระวังในการประเมินมูลค่าในปัจจุบัน
การลงทุนสูงกดดันผลดำเนินงาน
ด้าน บล. ทิสโก้ จำกัด แนะนำ ขาย (Sell) เนื่องจากมุมมองเชิงลบต่อราคาหุ้นในปัจจุบัน โดยชี้ให้เห็นว่าราคาตลาดได้ตอบรับข่าวดีเรื่องการฟื้นตัวของผู้โดยสารและการปรับขึ้นค่า PSC ไปล่วงหน้าแล้ว ทำให้หุ้นซื้อขายกันที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ที่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับบริษัทท่าอากาศยานอื่น ๆ ในภูมิภาคและในอดีตของ AOT เอง ดังนั้น แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานจะดีขึ้น แต่ราคาหุ้นได้สะท้อนมูลค่าไปเกินกว่าพื้นฐานที่แท้จริงแล้ว
ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิเคราะห์มีความกังวลต่อความเสี่ยงด้านการดำเนินงานในระยะสั้นถึงกลาง โดยเฉพาะผลกระทบจากการที่ AOT ต้องเจรจาปรับลดผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (MG) ของสัญญาดิวตี้ฟรี ซึ่งจะทำให้รายได้ส่วนนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในงบประมาณปี 2569-2570 นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดใช้งานอาคาร/รันเวย์ใหม่ ๆ และค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้นจากการลงทุนมหาศาล ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่เข้ามาบั่นทอนกำไรสุทธิในระยะเริ่มต้น
แม้จะยอมรับว่าการปรับขึ้นค่า PSC จะเป็นแรงหนุนกำไรที่สำคัญในอนาคต แต่ในมุมมองของ บล.ทิสโก้ ผลกระทบเชิงบวกนี้ยังไม่เพียงพอที่จะมาหักล้างกับราคาที่สูงเกินพื้นฐานในปัจจุบัน และความเสี่ยงจากประเด็นสัมปทานและค่าใช้จ่ายลงทุนที่เข้ามากดดันกำไรในระยะต่อไป ทำให้คำแนะนำคือ "ขาย" เพื่อรอโอกาสเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสมกว่าในอนาคต
ก่อนหน้านี้ AOT รายงานผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567 ถึงเดือนมิถุนายน 2568) มีรายได้รวม 52,324.21 ล้านบาท เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากกิจการการบินจำนวน 25,645.27 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน เพิ่มขึ้น 2,376.90 ล้านบาท คิดเป็น 10.22 % ส่งผลให้มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 14,262.37 ล้านบาท
ทำให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567-มิถุนายน 2568) เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากกิจการการบินจำนวน 25,645.27 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน เพิ่มขึ้น 2,376.90 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.22 ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 52,324.21 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 14,262.37 ล้านบาท
ด้านปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) ใน 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567 ถึงเดือนมิถุนายน 2568) มีจำนวนเที่ยวบินรวม 602,195 เที่ยวบิน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.79 แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 341,523 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 260,672 เที่ยวบิน มีผู้โดยสารมาใช้บริการรวม 97.24 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.87 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 59.48 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 37.76 ล้านคน
ล่าสุด จากการที่ ทสภ.ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 อันดับแรกของท่าอากาศยานที่มีการเชื่อมต่อทางอากาศดีที่สุด (Airport Connectivity Ranking) ประจำปี 2567 โดยสภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักเดินทางที่มีต่อท่าอากาศยานของ AOT ทั้งในด้านความปลอดภัย การให้บริการ และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การเติบโตของจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารยังส่งผลให้รายได้รวมจากการดำเนินงานในภาคการบินของ AOT
นอกจากนี้ ท่าอากาศยานของ AOT ได้รับความสนใจจากสายการบินในการขยายเครือข่ายเส้นทางการบินอย่างต่อเนื่อง โดยแผนตารางบินฤดูหนาว (Winter Schedule) ประจำปี 2568 (เดือนตุลาคม 2568-มีนาคม 2569) ณ ท่าอากาศยานของ AOT มีสายการบินใหม่ 7 สายการบิน เข้ามาให้บริการในประเทศไทย อาทิ United Airlines, Centrum Air, Air France, Etihad Airways, T’way, Loong Air และ Scoot
และยังมีสายการบินที่เพิ่มเส้นทางการบินอีก 11 เส้นทาง ครอบคลุมสนามบินหลักและสนามบินภูมิภาค เช่น สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ให้บริการเส้นทาง ลอสแองเจลิส-ทสภ. สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ให้บริการเส้นทางริยาด-ทดม. สายการบินไทยแอร์เอเชีย ให้บริการเส้นทางปูซาน-ทดม., ดานัง-ทภก., โคลัมโบ-ทภก. สายการบิน Air France ให้บริการเส้นทางปารีส-ทภก. สายการบิน Hainan Airline ให้บริการเส้นทางไหโขว่-ทภก., ไหโขว่-ทชม. เป็นต้น


