xs
xsm
sm
md
lg

เหมืองจีน 'ลู่เปียน' โอนบิทคอยน์ 4.7 หมื่นล้านบาท โยง “Prince Holding Group” ในเขมร หนีคดีฟอกเงินข้ามชาติ เขย่าตลาดคริปโตเอเชีย!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ยักษ์ใหญ่ธุรกิจขุดเหมืองบิทคอยน์ในจีน ลู่เปียน หรือ “LuBian” ถูกจับตาหนัก หลังวอลเล็ตที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ มูลค่ากว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ เพียงหนึ่งวันหลังจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) เปิดเผยคดีอื้อฉาวฟอกเงินและยึดครองบิทคอยน์มูลค่ากว่า 15,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งโยงถึงกลุ่มทุน “Prince Holding Group” ในกัมพูชา ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้เหตุการณ์นี้อาจสะเทือนเสถียรภาพตลาดคริปโตทั่วเอเชีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้ซึ่งเป็นศูนย์กลางการซื้อขายรายใหญ่ของภูมิภาค

โยงเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติ-จากจีนถึงเท็กซัส

บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน Lookonchain เปิดเผยว่า วอลเล็ตที่เชื่อมโยงกับ LuBian เคลื่อนย้ายบิทคอยน์กว่า 9,757 BTC มูลราว 1.1 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่ไม่มีความเคลื่อนไหวมานานกว่า 3 ปี ก่อนจะมีการโอนย้ายเพิ่มอีก 2,129 BTC หรือกว่า 238 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งหมด 11,886 BTC มูลค่าราว 13,000 ล้านดอลลาร์ ตามราคาตลาดปัจจุบัน

ขณะที่รายงานของ Arkham Intelligence ย้อนให้เห็นว่าก่อนหน้านี้ LuBian เคยถูกแฮ็กในปี 2563 ทำให้สูญเสียบิทคอยน์กว่า 127,426 BTC หรือประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์ (ราคาในขณะนั้น) โดยมีการโอนย้ายเหรียญบางส่วน 11,886 BTC ไปยังวอลเล็ตกู้คืน ซึ่งตรงกับจำนวนเหรียญที่เพิ่งขยับในครั้งนี้ ทำให้เกิดคำถามว่าเบื้องหลังการเคลื่อนไหวครั้งนี้มีเป้าหมายซ่อนอยู่หรือไม่

DOJ เปิดคดี “Prince Holding Group” ยึดบิทคอยน์ 1.5 หมื่นล้าน

การเคลื่อนไหวของ LuBian เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจาก DOJ สหรัฐฯ เปิดเผยคำฟ้องต่อ Prince Holding Group บริษัทสัญชาติกัมพูชาที่ถูกกล่าวหาว่าดำเนินโครงการหลอกลวงและฟอกเงินผ่านคริปโตในวงกว้าง โดยมี เฉิน จื้อ (Chen Zhi) ผู้ก่อตั้งกลุ่มเป็นผู้บงการเครือข่ายดังกล่าว

อัยการสหรัฐฯ ได้ยื่นคำร้องให้ริบทรัพย์สินมูลค่ากว่า 14,400 ล้านดอลลาร์ ที่เชื่อมโยงกับขบวนการนี้ โดยระบุว่าบิทคอยน์ที่ตรวจยึดได้อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐแล้ว และจะถูกริบเข้าคลังรัฐบาลหากมีคำพิพากษาว่าผู้ต้องหามีความผิดในข้อหาฉ้อโกงและสมคบคิดฟอกเงิน

DOJ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เฉินและพวกพ้องใช้รายได้ผิดกฎหมายดังกล่าวเพื่อก่อตั้งและสนับสนุนกิจการเหมืองคริปโตขนาดใหญ่ รวมถึง Warp Data บริษัทที่มีฐานในลาว, บริษัทลูกในเท็กซัส และ LuBian ในจีน ซึ่งเคยเป็นเหมืองบิทคอยน์อันดับ 6 ของโลกในปี 2563

หน่วยงานยังระบุว่ากลุ่มเหล่านี้ “ฟอกเงินผ่านบิทคอยน์จำนวนมหาศาลที่ถูกแยกขาดจากรายได้อาชญากรรม เพื่อทำให้เหรียญเหล่านั้นดูสะอาดและสามารถนำกลับเข้าสู่ระบบการเงินได้”

สหรัฐฯ เตรียมตั้ง “กองทุนสำรองบิทคอยน์” จากทรัพย์สินที่ยึดได้

ขณะที่กรณีนี้มีแนวโน้มจะกลายเป็นหนึ่งในคดีริบสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ หากศาลอนุมัติการริบ บิทคอยน์ที่ยึดได้อาจถูกนำเข้าสู่ กองทุนสำรองบิทคอยน์แห่งชาติ (Bitcoin Reserve) ซึ่งเพิ่งถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้คำสั่งของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

นอกจากนี้ David Sacks ที่ปรึกษาด้าน AI และคริปโตของทำเนียบขาว ระบุว่า กองทุนดังกล่าวจะนำบิทคอยน์ที่รัฐบาลได้มาจาก “กระบวนการริบทรัพย์สินทางคดีอาญาหรือแพ่ง” มาใช้เป็นสินทรัพย์ยุทธศาสตร์ของประเทศ

แรงสั่นสะเทือนถึงเกาหลีใต้ ตลาดคริปโตเอเชียจับตาแนวโน้มการกำกับดูแลใหม่

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสั่นสะเทือนตลาดคริปโตสหรัฐฯ แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมมาถึง ตลาดคริปโตเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงสุดในเอเชีย โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่า การปราบปรามเครือข่ายฟอกเงินครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ อาจทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในโซลเร่งทบทวนกฎระเบียบใหม่เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและป้องกันการใช้บิตคอยน์เป็นเครื่องมือฟอกเงิน

นักเศรษฐศาสตร์จาก Korea Digital Asset Institute (KDAI) ให้ความเห็นว่า “กรณี LuBian เป็นตัวอย่างชัดเจนของความเสี่ยงในระบบนิเวศคริปโตเอเชีย ซึ่งเกาหลีใต้จำเป็นต้องตอบสนองอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เงินผิดกฎหมายไหลเข้าสู่ระบบการเงินภายในประเทศ”

ขณะเดียวกัน นักลงทุนรายใหญ่ในเกาหลีใต้เริ่มย้ายพอร์ตเข้าสู่เหรียญที่มีการกำกับดูแลชัดเจนมากขึ้น เช่น Ethereum และ Solana สะท้อนถึงความพยายามของตลาดในการสร้างความเชื่อมั่นใหม่ หลังข่าวใหญ่ระดับโลกที่โยงถึงจีน กัมพูชา และสหรัฐฯ ทำให้ตลาดเข้าสู่ภาวะ “จับตาอย่างระมัดระวัง”

คดีฟอกเงิน LuBian กลายเป็น “จุดตัด” ของการกำกับคริปโตโลก

การเคลื่อนไหวของวอลเล็ตที่เชื่อมโยงกับ LuBian และการเปิดคดีฟอกเงินครั้งมโหฬารของ DOJ ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ทางกฎหมาย แต่สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการกำกับดูแลคริปโตทั่วโลก สหรัฐฯ กำลังใช้ “กฎหมายและการริบทรัพย์สิน” เป็นเครื่องมือควบคุมทุนดิจิทัล ขณะที่เอเชีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้ กำลังเร่งสร้างกรอบกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองกลายเป็น “สนามฟอกเงินของโลกคริปโต” ในอนาคต