นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (23 ก.ย.68) ที่ระดับ 31.78 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.70-31.90 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.76-31.83 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่า สลับกับการทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ และการทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่ของราคาทองคำ (XAUUSD)
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์และปรับสถานะถือครอง (เพิ่มสถานะ Short THB) โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งมีมุมมองเชิงลบต่อเงินบาทมากขึ้น หลังมีกระแสข่าวทางรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย เตรียมออกมาตรการลดการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ซึ่งในช่วงก่อนหน้าได้มีการพูดถึง มาตรการในการลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่อเงินบาท
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนกันยายน ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยจะเริ่มจาก ฝั่งยูโรโซน (รับรู้ในช่วง 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) ฝั่งอังกฤษ (รับรู้ช่วง 15.30 น.) และฝั่งสหรัฐฯ (รับรู้ในช่วง 20.45 น.)
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลดัชนี PMI ดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ ประธานเฟด Jerome Powell (ในช่วงราว 23.35 น.) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า นับตั้งแต่ช่วงบ่ายวันก่อนหน้า เงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้น สวนทางกับที่เราประเมินไว้พอสมควร แม้ว่าจะเผชิญแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ตามที่เราได้ประเมินไว้ก็ตาม โดยปัจจัยสำคัญที่หนุนเงินบาท ยังคงเป็นการทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ รวมถึง การพลิกกลับมาอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า เงินบาท (รวมถึงเงินดอลลาร์) ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด ขณะเดียวกัน บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย อย่างที่ตลาดคาดหวัง ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หนุนการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งจะกลับมากดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้
ในทางกลับกัน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด แม้บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดหวัง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังคงมั่นใจต่อมุมมองการลดดอกเบี้ยของเฟดที่ได้ประเมินไว้ ซึ่งอาจยิ่งกดดันเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ให้ปรับตัวลดลง หนุนราคาทองคำและเงินบาทได้
เราประเมินว่า แม้ราคาทองคำอาจปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท แต่ในเชิงเทคนิคัลและสถิติ เราพบว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำอาจชะลอลงและเข้าสู่ช่วงการพักฐาน (Correction) ได้ หากราคาทองคำ (XAUSUD) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 3,800-3,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งจะเป็นโซนที่ราคาทองคำปรับตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว อย่าง เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน เกิน 20% ซึ่งมักจะเกิดการพักฐาน ทำให้เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท หากเกิดขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด
นอกจากนี้ เราคงมองว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจยังคงเดินหน้าทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมบ้าง ส่วนผู้เล่นต่างชาติบางส่วนก็ยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อเงินบาท เพิ่มแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทและทำให้ เงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 31.50-31.60 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก
อนึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงกลับเข้าสู่แนวโน้มการอ่อนค่าลงอีกครั้ง เมื่อพิจารณาจากกลยุทธ์ Trend-Following อีกทั้ง เราพบว่า บรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติหลายแห่ง ได้ทยอยประเมินความเสี่ยงเงินบาทอาจอ่อนค่าลง และมีการแนะนำ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง ก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรม Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) เพิ่มเติม จากบรรดาผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งอาจเร่งการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้นได้