xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อ CRC จะขายห้างให้บริษัทแม่ รายใหญ่ยิ้ม-รายย่อยทุกข์จริงหรือ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ส่องแผนปรับโครงสร้าง “กลุ่มเซ็นทรัล” ดีลขายห้าง Rinascente ของ“เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น” ให้กับบริษัทแม่ “ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์” ถือเป็นการเดินเกมเพื่ออนาคต หรือเป็นเพียงการถ่ายโอนสินทรัพย์ทำกำไร? ฟากผู้บริหารเชื่อดีลนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน ขณะที่ฝากรายย่อยกลับกังวลเหมือนโดนโยกย้ายของดีออกจากพอร์ต แถมผู้ได้รับประโยชน์กลับเป็นแต่บริษัทแม่ ขณะธุรกิจที่เหลือ รายย่อยต้องกลับมานั่งลุ้นกันเป็นรายไตรมาส แถมเงินปันผลพิเศษร่วม 7,700 ล้าน กลุ่มผู้ก่อตั้งและยานแม่ก็รับไปเกินครึ่ง 

กำลังเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงอย่างมากในหมู่นักลงทุน กับคำถามที่ว่าจะไปต่อหรือจะหยุดเพียงเท่านี้ สำหรับหุ้นบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC นั่นเพราะเมื่อเร็วๆนี้ บริษัทได้รับข้อเสนอจาก บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด (HCDS หรือ Central Group) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 35.06% ( ณ วันที่ 7 พ.ค.2568) ในการขอซื้อห้างสรรพสินค้า Rinascente ทั้งหมดในประเทศอิตาลีของ CRC ในราคารวมประมาณ 14,700 ล้านบาท

หลังจาก CRC ซึ่งดำเนินการในนามกลุ่มเซ็นทรัล (กลุ่มจิราธิวัฒน์) ได้เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้า Rinascente ในอิตาลีเมื่อปี 2018(พ.ศ.2561) ในราคา 260 ล้านยูโร หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท หรือร่วม 14 ปี ที่บริษัทที่ครองและบริหารมา ซึ่งการขอซื้อกิจการห้างในอิตาลีครั้งนี้ เกิดขึ้นในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งประกอบไปด้วยกรรมการที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้พิจารณาข้อเสนอนี้เมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา และที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการ

นับเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ และเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งของ “กลุ่มจิราธิวัฒน์”ที่บริหาร “กลุ่มเซ็นทรัล” โดย “ปเนต มหรรฆานุรักษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน CRC ออกมาให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่า การตัดสินใจขายธุรกิจในอิตาลีสอดคล้องกับนโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เซ็นทรัล รีเทล ได้เคยประกาศไว้ ในการปรับพอร์ตธุรกิจของ CRC เพื่อมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในตลาดหลัก คือ ประเทศไทยและเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพในการเติบโตสูง และ CRC มีแผนที่จะลงทุนและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

 โดยCRC จะนำเงินที่ได้รับจากการขายครั้งนี้ ไปเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน รวมถึงการทำ M&A (Mergers and Acquisitions) เพื่อมาเสริมตลาดหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต หลังจากที่ผ่านมาบริษัทได้รับโอกาสพิจารณาการลงทุนเพิ่มในยุโรปหลายครั้ง แต่เนื่องจากต้องใช้เงินทุนสูง ซึ่งจะไปดึงเงินลงทุนจากตลาดหลักในประเทศไทยและเวียดนาม จึงตัดสินใจไม่เข้าลงทุน แต่หากการดำเนินการดังกล่าวลุล่วงไปด้วยดี CRC มีแผนที่จะนำเงินที่ได้รับจากการขายห้างในอิตาลี ไปบริหารจัดการในการสร้างการเติบโต และเสริมแกร่งสถานะทางการเงินของบริษัท


 ใจป้ำ!จ่ายปันผลพิเศษ

พร้อมกันนี้ในเบื้องต้น CRC มีแผนพิจารณานำเงินส่วนที่เหลือ 7,700 ล้านบาท ไปจ่ายเป็นเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น คิดเป็น 1.28 บาทต่อหุ้น และหลังจากการขายครั้งนี้ CRC คาดว่าจะได้กำไรหลังหักภาษีประมาณ 6,000 ล้านบาท (จ่ายครั้งแรกจำนวนประมาณ 4,200 ล้านบาท ภายหลังจากที่ CRC ได้รับเงินสดสุทธิจากธุรกรรม (คาดว่าภายในปี 2568 นี้) และครั้งที่สองจำนวนประมาณ 3,500 ล้านบาท พร้อมกับการจ่ายเงินปันผลประจำปีจากผลการดำเนินงานปี 2568)

ขายห้างได้ประโยชน์หลายต่อ

ขณะเดียวกันCRC เชื่อว่าการขายห้างในอิตาลี บริษัทจะได้รับประโยชน์ในหลายด้าน เริ่มที่การสามารถรับรู้ผลตอบแทนเป็นเงินสดจากการลงทุนใน Rinascente ได้ทันทีในราคาขายที่เหมาะสม โดยไม่ต้องรอเงินปันผลในอนาคต โดยมีอัตราส่วน P/E ที่ประมาณ 14.4 เท่า และ EV/EBITDA ที่ประมาณ 7.8 เท่า สูงกว่าบริษัทที่ประกอบธุรกิจค้าปลีกในยุโรปและในประเทศที่พัฒนาแล้ว

ปัจจัยหนุนถัดมา คือ CRC ได้ราคาขายสูงกว่าต้นทุนที่บริษัทเข้าลงทุนในปี 2018 อย่างมากคิดเป็นกำไรหลังหักภาษีประมาณ 6,000 พันล้านบาท ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางฐานะการเงินของ CRC ด้วยการนำเงินสดไปคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ทำให้ภาระหนี้สินของบริษัทลดลงประมาณ 5,300 ล้านบาท นำไปสู่ความสามารถจ่ายปันผลสูงถึง7,700 ล้านบาท คิดเป็น 1.28 บาทต่อหุ้น

รวมถึงช่วยลดภาระและความเสี่ยงของ CRC ในการดูแล ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ในอิตาลี ที่มีความแตกต่างจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก รวมถึงลดสัดส่วนรายได้ของ CRC ที่ถูกเก็บภาษีสูงในอัตรา Effective Tax Rate ประมาณ 30% เทียบกับ CRC ที่เสียภาษีในอัตรา Effective Tax Rate ประมาณ 23% และภายหลังจากธุรกรรมนี้ CRC จะยังคงสามารถรับประโยชน์จากการร่วมมือทางธุรกิจกับ Rinascente ได้เหมือนเดิม

อย่างไรก็ตามธุรกรรมดังกล่าวจะต้องถูกนำเสนอต่อผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติในวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2568 โดย CRC ได้มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อให้ความเห็นอิสระเกี่ยวกับการเข้าทำธุรกรรม และความเป็นธรรมของธุรกรรมต่อผู้ถือหุ้นเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในวันดังกล่าวต่อไป


เพื่อบริษัทหรือนักลงทุน?

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการขายสินทรัพย์ครั้งนี้จะดูมีเหตุผลทางธุรกิจ แต่ในมุมของนักลงทุนรายย่อยกลับมีความกังวลที่แตกต่างออกไป เพราะในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยโอกาสและความเสี่ยง ชื่อของ CRC เคยเป็นหนึ่งในดาวเด่นที่นักลงทุนให้ความสนใจในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกที่แข็งแกร่งและหลากหลาย แต่แล้วในห้วงเวลาที่ตลาดกำลังคาดหวังการฟื้นตัวอย่างเต็มที่ หุ้น CRC กลับเผชิญกับคลื่นลมที่รุนแรงจนราคาดำดิ่งลงอย่างน่าตกใจ จากจุดสูงสุดในช่วงต้นปี 2567 ที่ระดับ 38.75 บาท สู่ราคาปัจจุบันที่ 22.40 บาท (19ก.ย.2568) มูลค่าที่หายไปกว่า 42% นี้ สิ่งที่กดดันไม่ได้มาจากปัจจัยเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากดีลยักษ์ใหญ่ที่ถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและผลประโยชน์ของนักลงทุนรายย่อย

นั่นเพราะ นักลงทุนที่ถือหุ้น CRC บางส่วนกำลังน้อยเนื้อต่ำใจ กับการต้องยอมรับว่าจริงว่าคนที่กุมหุ้นมากกว่ากำลังจะทำการโยกย้ายสินทรัพย์ทำกำไรออกจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปสู่บริษัทในเครือที่ไม่ได้จดทะเบียน 

สำหรับ CRC ไม่ได้เป็นเพียงแค่ห้างสรรพสินค้าที่คุ้นเคย แต่เป็นอาณาจักรค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจครอบคลุมหลากหลายกลุ่ม ทั้งในและต่างประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ประกอบด้วย กลุ่มแฟชั่น (Fashion) สร้างรายได้จากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, โรบินสัน, รวมถึงห้างในต่างประเทศอย่าง รีนาเชนเต และแบรนด์ค้าปลีกเฉพาะทางอย่าง Supersports และ Central Department Store

ถัดมาคือ กลุ่มอาหาร (Food) แหล่งรายได้หลักที่เติบโตต่อเนื่องผ่านแบรนด์ Tops, Central Food Hall, Family Mart และล่าสุดคือการรุกเข้าสู่ธุรกิจค้าส่งอย่าง GO Wholesale และอีกกลุ่มคือกลุ่มฮาร์ดไลน์ (Hardline) กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการสำหรับบ้านและการทำงาน เช่น ไทวัสดุ, เพาเวอร์บาย, และ Officemate

ต้องยอมรับว่าความหลากหลายของพอร์ตธุรกิจนี้เคยเป็นจุดแข็งสำคัญของ CRC ที่ทำให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้จากหลายช่องทาง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศอย่างกำลังซื้อที่ชะลอตัว และปัจจัยภายนอกอย่างความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

รายได้แกร่ง สวนทางกำไรอ่อนแรง

สำหรับผลประกอบการของ CRC พบว่า ในปี 2566 บริษัทมีรายได้ 248,688 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 8,016 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 262,804 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 8,637 ล้านบาท ส่วนแรกปี2568 บริษัทมีรายได้รวม 131,924 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 3,480 ล้านบาท

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า CRC ยังคงมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีกำไรสุทธิที่เป็นบวก แต่หากเจาะลึกไปที่รายได้ตามกลุ่มธุรกิจ จะพบว่า กลุ่มอาหาร มีสัดส่วนรายได้มากที่สุดและยังคงเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายธุรกิจค้าส่ง GO Wholesale ที่ได้รับการตอบรับที่ดี

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในรายละเอียดเชิงลึกจะพบสัญญาณเตือนที่ถูกมองข้ามไป โดยเฉพาะไตรมาสที่ 2/2568 ที่กำไรสุทธิของ CRC ลดลงถึง 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์อย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยนี้กลายเป็นหนึ่งในชนวนเหตุที่ทำให้นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามต่อแนวโน้มการเติบโตในอนาคตของบริษัท


ปัจจัยอะไรที่ฉุดรั้งราคาหุ้น CRC?

การปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงของราคาหุ้น CRC ในช่วงปี 2567-2568 ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลกระทบจากหลายปัจจัยที่ซ้อนทับกันอย่างเป็นระบ เริ่มที่ผลประกอบการที่น่าผิดหวัง เมื่อตัวเลขกำไรที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2/2568 เป็นการส่งสัญญาณเตือนแรกถึงความไม่แน่นอนของบริษัท ธุรกิจค้าปลีกเป็นธุรกิจที่อ่อนไหวต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คาดหวัง และต้นทุนในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นกำลังกัดกินอัตรากำไรของบริษัท

ปัจจัยถัดมาคือ แนวโน้มเศรษฐกิจที่เปราะบา โดยภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงเป็นปัจจัยกดดัน ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และกำลังซื้อที่ยังคงอ่อนแรง ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มธุรกิจแฟชั่นของ CRC

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีปัจจัยจากเรื่องดีลการขายห้าง Rinascente นั่นเพราะเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างรุนแรง เพราะต่างเชื่อว่าห้าง ดังกล่าวเป็นสินทรัพย์ที่ทำกำไรได้ดีในอิตาลี ทำให้เกิดความกังวลว่าบริษัทกำลังจะสูญเสียแหล่งรายได้สำคัญในอนาคต

ทิ้งกันหรือเปล่า?

การขายห้าง Rinascente ซึ่งเคยลงทุนด้วยมูลค่า 260 ล้านยูโร หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท ถือเป็นการเดิมพันที่กล้าหาญ หลังจาก CRC ได้ทุ่มเทลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงและยกระดับให้ Rinascente กลายเป็นจุดหมายปลายทางของสินค้าลักซ์ชัวรี (Luxury Retail Destination) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง จนในปี 2566 สามารถสร้างยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 1,000 ล้านยูโร และกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจที่สร้างอัตรากำไรได้สูงให้กับบริษัท

ทำให้ไม่แปลกใจว่าพอมีข่าว CRC จะขายสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งและทำกำไรได้ดีเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจและสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างรุนแรง

รายละเอียดของดีลนี้คือ CRC ตกลงขายห้าง Rinascente ในราคา 250 ล้านยูโร และรับโอนหนี้เงินกู้คืนอีก 141 ล้านยูโร หรือรวมเป็นเงินสดที่ได้รับประมาณ 14,700 ล้านบาท แม้บริษัทจะออกมาบอกว่าเป็นมูลค่าที่สูง แต่ก็เป็นราคาที่นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรในอนาคตที่ต้องหายไป

แม้เชื่อว่าดีลนี้เป็นไปเพื่อ 'ลดความเสี่ยง' และ 'มุ่งเน้นการลงทุนในไทยและเวียดนาม' แต่ในมุมมองของนักลงทุนรายย่อย การทำธุรกรรมนี้ยังมีประเด็นที่น่ากังวล ว่าการขายแหล่งรายได้ที่มีกำไรสูงและเติบโตดีออกไป ทำให้หลายบริษัทหลักทรัพย์ต้องปรับลดประมาณการกำไรในอนาคตของ CRC ลงเฉลี่ย 10% ซึ่งเป็นการทำลายศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของบริษัท

ประเด็นถัดมาสำคัญที่สุดคือการที่ผู้ซื้อไม่ใช่บุคคลภายนอก แต่เป็น บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด (HCDS) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การกระทำเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามถึงเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) และความโปร่งใส

นั่นเพราะในมุมมองของนักลงทุน การทำธุรกรรมนี้เปรียบเสมือน CRC แบกรับความเสี่ยงในการลงทุนและพัฒนาธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งธุรกิจแข็งแกร่งและสามารถทำกำไรได้ดี สินทรัพย์ดังกล่าวกลับถูกโอนย้ายไปให้บริษัทในเครือที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้รับประโยชน์จากการเข้าซื้อธุรกิจที่พร้อมทำกำไรทันที ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยของ CRC รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง พร้อมกับความไม่แน่นอนในการสร้างผลตอบแทนในอนาคต

 7,700ล.รายย่อยได้เท่าไร?

ด้วยการซื้อห้าง Rinascente และการรับจ่ายหนี้ จนมีมูลค่ารวม 14,700 ล้านบาท ให้กลับ CRC นั้นต้องไม่ลืมว่า บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด นั้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ CRC ในสัดส่วน 35.06% และนอกจากนี้ยังคนของ “จิราธิวัฒน์” มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน CRC บนเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ร่วม 20 ราย คิดเป็นสัดส่วน 15.21%

เอาเฉพาะเงินที่เตรียมปันผลให้ผู้ถือหุ้น 1.28 บาทต่อหุ้น(แม้จะแบ่งการปันผลออกเป็น2 รอบ) แค่เฉพาะ “ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์” ในฐานะผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่ง 2,114,284,890 หุ้น ก็เตรียมรับเงินคืนกลับร่วม 2,706 ล้านบาท หักลบกลับที่จ่ายซื้อห้างในอิตาลีประมาณ 14,700 ล้านบาท ก็เหมือนจ่ายจริงประมาณ 12,000 ล้านบาท

และถ้ารวมกับคนในกลุ่ม “จิราธิวัฒน์”ที่มีลิสต์อยู่ในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ (7พ.ค.2568) สัดส่วนรวมกัน 15.21% คิดเป็นจำนวนหุ้น 918,549,667 หุ้น จะมีมูลค่าเงินปันผลประมาณ 1,175 ล้านบาท และถ้านำมารวมกับผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งของ CRC จะเฉียดๆ 3,881 ล้านบาท เรียกว่าแค่เฉพาะในกลุ่มผู้ก่อตั้งและบริษัทในเครือก็รับไปเกินครึ่งของเงิน 7,700 ล้านบาทที่ระบุว่าจะนำมาจ่ายปันผล

ส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่รายอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มผู้ก่อตั้ง และบริษัทในเครือ นำทีมโดย สำนักงานประกันสังคม กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง กองทุนจากต่างประเทศ และผู้ถือหุ้นรายบุคคล มีการถือ CRC รวมกันประมาณ 1,196 ล้านหุ้น หรือ 19.86% คิดเป็นเม็ดเงินที่จะได้รับจากการปันผลประมาณ 1,531 ล้านบาท

ทำให้จะเหลือเงินที่จ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอื่นๆไล่เรียงลงมาตามจำนวนหุ้นไปแบ่งกันประมาณ 2,288 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงผู้ถือหุ้นรายย่อยด้วย และนี่อาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนทั่วไปเกิดความกังวล

ความท้าทายที่ยังรออยู่

สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เรื่องมีเสียงสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของบริษัท แม้ว่าเงินที่ได้จากการขายจะถูกนำมาใช้เพื่อชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย และอาจมีการจ่ายปันผลพิเศษในอนาคต แต่ผลตอบแทนระยะสั้นเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนการสูญเสียโอกาสในการเติบโตในระยะยาวได้

 โดยจากมุมมองของนักวิเคราะห์ที่กังวลต่อเรื่องดังกล่าวนั้น มีมุมมองที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นปัจจัยลบมีมากกว่าปัจจัยบวกในขณะนี้ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนว่าการลงทุนใหม่ๆ ที่ CRC จะทำในอนาคตจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีเท่ากับธุรกิจที่ขายออกไปหรือไม่? 

นอกจากนี้ บริษัทยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ และต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งอาจกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท และทำให้ความสามารถในการทำกำไรลดลงไปอีก ดังนั้น คำแนะนำในการลงทุนในหุ้น CRC จึงมีแนวโน้มไปในทิศทางของ การขาย หรือ การหลีกเลี่ยงการลงทุน ในช่วงนี้ จนกว่าบริษัทจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ และมีกลยุทธ์การเติบโตที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นทุกรายอย่างแท้จริง

"ท้ายที่สุดแล้ว การเดิมพันครั้งนี้ของ CRC จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกคนได้หรือไม่ และการลงทุนในอนาคตจะสามารถทดแทนสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งอย่าง Rinascente ได้จริงหรือ?"


กำลังโหลดความคิดเห็น