ขาขึ้นรอบใหญ่ของตลาดหุ้นในครั้งนี้ อาจปิดฉากลงแล้วชั่วคราว หลังจากมีแรงขายหุ้นเทกระจาดกันออกมา พุ่งเป้าสู่หุ้นขนาดใหญ่ ฉุดให้ดัชนี ฯ เมื่อวันอังคารที่ 22 กรกฎาคมปรับฐานลงแรง 16.38 จุด หลุดแนวรับระดับ 1200 จุดมาอีกครั้ง
ตลาดหุ้นฟื้นตัวมาจากจุดต่ำสุดของรอบที่ระดับประมาณ 1050 จุด เนื่องจากความวิตกกังวลผลกระทบภาษีตอบโต้ของรัฐที่จะเรียกเก็บสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 36% โดยขึ้นมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 1208.13 จุด หรือขึ้นมาประมาณ 150 จุด ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายที่หนาแน่นขึ้นสู่ระดับ 6 หมื่นล้านบาทต่อวัน
นักลงทุนต่างชาติ ทยอยกลับเข้ามาซื้อหุ้น และเป็นแรงผลักดันให้ดัชนี ฯ ดีดตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นตัวสนับสนุน เข้ามาไล่ซื้อหุ้นในบางวัน กระตุ้นดัชนี ฯ ให้วิ่งฉิว จนตีฝ่าแนวต้าน 1200 จุดขึ้นมาได้
ความกังวลผลกระทบจากภาษีทรัมป์อาจคลายตัวลง เพราะเชื่อกันว่า สินค้าจากประเทศไทยที่ส่งไปขายในสหรัฐ จะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราใกล้เคียงกับเวียดนามคือ ประมาณ 20% นอกจากนั้น การแต่งตัวผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ได้รับเลือกให้เข้ารับตำแหน่ง นำไปสู่ความคาดหมายว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นให้เดินหน้าต่อ
ต่างชาติยังไม่ได้หนีหายจากตลาดหุ้นไทย เมื่อวันอังคารที่ผ่านมายังซื้อสุทธิ 1,821 ล้านบาท แต่ถูกเทขายสวนจากนักลงทุนบันในประเทศ จนดัชนี ฯ ทรุดลงแรงกว่า 16 จุด และอาจเป็นสัญญาณการปิดรอบหุ้นขึ้น ก่อนกลับไปสู่สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน โดยบรรยากาศการลงทุนอาจซบเซาลง ดัชนี ฯ เคลื่อนไหในกรอบแคบ ๆ
เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ ชะลอการซื้อขาย เพื่อรอดูบทสรุปการจราจาภาษีการค้ากับสหรัฐ ซึ่งจะต้องจบภายใน 8 วันข้างหน้า เพราะหากเจรจายังไม่ได้บทสรุป ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัทป์ประกาศไว้แล้ว จะใช้อัตราภาษีใหม่ 36% จากสินค้าประเทศไทย ซึ่งการส่งออกจะถูกกระทบหนักในครึ่งปีหลัง
นับถอยหลัง 8 วันทำการ ก่อนเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ถ้าทีมไทยแลนด์ ไม่มีข้อเสนอเป็นที่พอใจกับสหรัฐ การเจรจายืดเยื้อ อัตราภาษีสินคาจากไทยคงถูกเรียกเก็บอัตรา 36% ไปก่อน
และนักลงทุนคงกลับมาชะลอการซื้อขายอีกครั้ง เพื่อเฝ้ารอความชัดเจนบทสรุปท้ายของการเจรจาภาษีการค้า แนวโนมหุ้นระยะสั้น น่าจะแกว่งตัวขค้นลงในกรอบแคบ ๆ เว้นแต่มีกองหนุน ต่างชาติบุกตะลุยซื้อหุ้นไม่เลิก
แต่ถ้าต่างชาติพักรบ ชะลอการลงทน ตลาดหุ้นจะขาดแรงส่ง และเคลื่อนไหวในลักษณะประคับประคองตัวไปชั่วคราว จนกว่าจะมีข้อตกลงมาภาษีตอบโต้ของรัฐที่แน่ชัด
ดูเหมือนว่า อัตราภาษีที่ประเทศไทยต้องการ จะพอใจในระดับที่ใกล้เคียงกับอินโดนีเชียที่ได้ 19% หรือเวียดนามที่ได้ 20% เพราะผลกระทบต่อการส่งออกะไม่รุนแรงมากนัก
แต่ถ้าสินค้าจากไทยที่ส่งออกไปสหรัฐเสียภาษีสูงกว่า 20% จะกลายเป็นข่าวร้าย และอาจถล่มให้ตลาดหุ้นไทยทรุดลงมาได้
ข่าวดีที่รออยู่ในตอนนี้คือ การลดดอกเบี้ยของแบงก์ชาติลงมาอีก 1 หรือ 2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน
ส่วนตัวแปรที่ยังครอบงำตลาดหุ้นอยู่คือ การเจรจาต่อรองภาษีการค้ากับสหรัฐ ซึ่งสุดจะคาดเดาว่า บทสรุปจบลงอย่างไร สินค้าประเทศไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐอัตราเท่าไหร่แน่
ได้สรุปในอัตราไล่เลี่ยกับเพื่อนบ้านย่านอาเซียน หุ้นคงไม่ปั่นป่วน และรอคอยข่าวดีการลดดอกเบี้ย เพื่อวิ่งต่อไปใหม่
แต่ใครจะรู้ว่า อัตราภาษีการค้า ซึ่งเป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตาย จะสรุปกันที่ตัวเลขเท่าไหร่
จะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายสำหรับตลาดหุ้น จะปลุกหุ้นให้วิ่งขึ้นมายืนเหนือ 1200 จุด ใหม่ หรือร่วงผล็อยไปตั้งหลักระดับ 1150 จุด นักลงทุนได้แต่เฝ้ารอด้วยความระทึกเพียงอย่างเดียว
จะผลีผลามเช้าไปเก็บหุ้นดักรอข่าวดีก็เสี่ยงเต็มที