ส่วนงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประเมินภาพเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยภาคท่องเที่ยวจะยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญโดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายของปีที่จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน ประกอบกับแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าอาจฟื้นตัวช้า เนื่องจากนักลงทุนยังรอดูสถานการณ์ทางการเมืองและทิศทางนโยบายในการบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่ บวกกับภาคส่งออกของไทยที่เผชิญแรงกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิต การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาตร์ที่ยืดเยื้อ และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยภาพรวมวิจัยกรุงศรีมีแนวโน้มยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ไว้จะขยายตัวเพียง 2.4% โดยยังต้องติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมือง และการแถลงนโยบายเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แม้ความกังวลภาวะสุญญากาศทางการเมืองลดลงหลังจากได้นายกรัฐมนตรีใหม่อย่างรวดเร็ว แต่ยังต้องติดตามการแถลงนโยบายเศรษฐกิจ จากเหตุการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 มีคำวินิจฉัยให้ นายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีเนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และคณะรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะ มีผลตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม และต่อมาในวันที่ 16 สิงหาคม การประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีการโหวตเลือกน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล) ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ด้วยคะแนนเห็นชอบ 319 เสียง ไม่เห็นชอบ 145 เสียง และงดออกเสียง 27 เสียง
ทั้งนี้ ประเมินในกรณีฐานภายใต้การจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ได้เร็วซึ่งเป็นฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลเดิมและมีเสียงข้างมากราว 2 ใน 3 ของสภาผู้แทนราษฎร จะทำให้การผลักดันนโยบายต่างๆ และการเบิกจ่ายงบประมาณปีปัจจุบันดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 (วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท) อาจไม่เกิดความล่าช้า จากสถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปีนี้อาจมีจำกัด อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการแถลงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ว่าจะสามารถช่วยหนุนการบริโภค กระตุ้นการลงทุน หรือสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะเป็นแนวทางในการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าต่อไป
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2567 ไว้ที่ 2.6% ภายใต้สมมติฐานที่ภาครัฐมีการขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 รวมถึง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 บังคับใช้ทัน 1 ต.ค.2567 นี้ ท่ามกลางการท่องเที่ยวและส่งออกที่ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ทั้งนี้ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ขึ้นกับมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ตลอดจนงบประมาณปี 2568 นอกเหนือไปจากความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกทั้งประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่อาจจะมีผลต่อเนื่องมายังการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่จะกระทบการส่งออกในช่วง high season ตลอดจนภาคการผลิตที่เจอโจทย์การแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงภาวะกำลังซื้อในประเทศโดยรวมที่ยังอ่อนแอ โดยหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐล่าช้าออกไป และไม่ได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาทดแทนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 นี้ ตลอดจนมีความล่าช้าในการใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 ออกไปมากกว่า 1 เดือน แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 คงจะมีความเสี่ยงด้านต่ำมากขึ้น โดยมีกรอบล่างประมาณการรองรับไว้ที่ 2.2% ซึ่ง ณ ขณะนี้ยังมองโอกาสการเกิดไม่สูง


