กลุ่ม"เอกยุทธ"นักลงทุนรายใหญ่ ยอมรับสนใจซื้อบล.เอเพกซ์ ระบุหากลดราคาเหลือ 300-400 ล้านบาทเข้าลงทุน แต่ถูกโก่งราคา 500-600 ล้านบาท ระบุได้หารือกับบล.หลายแห่งเพื่อจะเข้าไปถือหุ้นใหญ่ แย้มถ้าเข้าไปถือหุ้นพร้อมใส่เงินเพิ่มทุนให้ทันที 4-5 พันล้านหวังเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและป้องกันทุน สิงคโปร์ยึดตลาดทุนไทย เผยเม็ดเงินลงทุนของตัวเองและเพื่อนในกลุ่มกว่า 1,000 ล้านเหรียญ จ่อรอที่จะเข้ามาลงทุนทันที คาดหวังได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาได้มีกระแสข่าวว่ามีผู้ที่สนใจที่จะซื้อใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเพกซ์ หลายรายทั้งนักลงทุนในประเทศที่เป็นกลุ่มคนและสถาบันการเงิน รวมถึงสถาบันการเงินต่างประเทศ ซึ่งในกระแสข่าวบอกว่ากลุ่มนักลงทุนในประเทศที่สนใจหนึ่งในนั้นคือกลุ่มของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ที่ได้ส่งตัวแทนเข้าเจรจากับผู้บริหารของบล.แอ๊ดคินซัน จำกัด(มหาชน)หรือ ASLซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบล.เอเพกซ์แล้ว แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้
ทั้งนี้นายเอกยุทธถือได้ว่านักลงทุนรายใหญ่ที่เปิดพอร์ตซื้อขายกับโบรกเกอร์หลายแห่ง ซึ่งในอดีตก็เคยเปิดพอร์ตกับบล.เอเพกซ์ในสมัยที่นายชาญชัย กุลถาวรากร ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บล.เอเพกซ์ ดังนั้นจึงถือได้ว่าทั้ง 2 คนมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานานแล้ว
แต่ต่อมานายชาญชัยถูกกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบล.แอ๊ดคินซันบีบให้ออก ดังนั้นนายชาญชัยจึงได้ไปรวบรวมกลุ่มเพื่อนฝูงไปซื้อบริษัทหลักทรัพย์และตั้งเป็นบล.ทีเอสอีซีในปัจจุบันนี้
"เหตุผลที่ใบอนุญาตของบล.เอเพกซ์ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะปัจจุบันนี้เหลือเพียงใบอนุญาตนี้เพียงใบเดียวที่จะเปิดขายให้กับกลุ่มนักลงทุนที่สนใจ"แหล่งข่าวกล่าว
นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานกรรมการบริษัทในเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป เปิดเผยว่า กระแสที่ระบุว่าตนได้ เข้าไปเจรจาเพื่อขอซื้อใบอนุญาตของบล.เอเพกซ์ว่า ยอมรับที่ผ่านมาได้มีการส่งตัวแทนเข้าไปติดต่อเพื่อซื้อใบอนุญาตจริง ซึ่งได้มีการติดต่อซื้อบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งทั้งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และที่ยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการเข้าไปผู้ถือหุ้นใหญ่หรือซื้อใบไลเซ่นต์ของบริษัท หลักทรัพย์แห่งใดแห่งหนึ่งภายในปีนี้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้มีการเจรจาเพื่อขอซื้อใบอนุญาตของบล. เอเพกซ์ จำกัด จากบล. แอ๊ดคินซัน ซึ่งเบื้องต้นราคาที่บล.แอ๊ดคินซันเสนขายอยู่ที่ 500-600 ล้านบาท ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นราคาที่แพงเกิน ไปซึ่งหากอยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านบาทถือว่าเป็นระดับราคาที่น่าสนใจ ส่วนใบไลเซ่นต์ของบริษัทหลักทรัพย์ ทีเอสอีซี จำกัด หรือ TSEC ซึ่งขณะนี้ธนาคารกรุงไทยเข้าไปถือหุ้น 50% นั้นก่อนหน้านี้ก็เคยส่งตัวแทนเข้าไปเจรจาเช่นกัน แต่บล.ทีเอสอีซีเลือกที่จะให้ธนาคารกรุงไทยเข้ามาถือหุ้น
ในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการเจรจาในขณะนี้ยังไม่สามารถเปิด เผยชื่อได้เนื่องจากเป็นบริษัทจดทะเบียน โดยในส่วนดังกล่าวอาจจะไม่ใช่การเข้าไปซื้อใบไล่เซนต์ แต่จะเป็นลักษณะการเข้าไป ซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่บางราย เนื่องจากตน ต้องการจะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อให้มีอำนาจในการบริหารงาน โดย
**พร้อมเพิ่มทุน4-5พันล้าน
นายเอกยุทธกล่าวว่า หากข้อตกลงสามารถบรรลุได้ตนและกลุ่มพร้อมที่จะเพิ่มทุนในบริษัทหลักทรัพย์ดังกล่าวทันที 4,000-5,000 ล้านบาทเพื่อเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันและพร้อมขยายฐานธุรกิจอย่างเต็มที่
"ถ้าราคาใบไล่เซนต์เหลือซัก 300-400 ล้านบาทเราสนใจทันที ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจาตกลงกันอยู่ ซึ่งหากสำเร็จ เราจะเพิ่มทุนให้ทันที 4,000-5,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันโดยเฉพาะกลับกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ และที่สำคัญกองทุนของผมและเพื่อนที่ลงทุนในต่างประเทศรวมกว่า 1,000 ล้านเหรียญจะได้เข้ามาใช้บริการทำให้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ที่อื่น"นายเอกยุทธกล่าว
สำหรับเม็ดเงินของส่วนและกลุ่มเพื่อนกว่า 1,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนในต่างประเทศรวมถึงลงทุนในประเทศผ่านบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆพร้อมที่จะกลับเข้ามาใช้บริการบริษัทหลักทรัพย์ของตนที่เป็นเจ้าของทันที ซึ่งจะทำให้เงินที่จะต้องเสียเป็นค่าธรรมเนียมให้กับบริษัทหลักทรัพย์รายอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะจากสิงคโปร์ไหลเข้ามาในบริษัทหลักทรัพย์ที่มีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้น
**ป้องกันทุนสิงคโปร์ยึด
นายเอกยุทธ กล่าวอีกว่า เหตุผลที่ตนเองสนใจในธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ เนื่องจากเชื่อมั่นว่าศักยภาพในการแข่งขันทั้ง ในเรื่องคุณภาพและเงินทุนของคนผู้ประกอบการไทยสามารถสู้กับต่างประเทศได้ โดยในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนรวมถึงกลุ่มทุน จากสิงคโปร์เข้ามาเป็นเจ้าของในธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมตนเองจึงอยากจะเข้ามา ร่วมแข่งขันด้วย
"การเข้ามาของกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ที่ผ่านเนื่องจากมีการเปิดรับกลุ่มทุนจากต่างประเทศภายใต้การบริหารงานของ รัฐบาลก่อนหน้านี้ จึงทำให้ผู้ประกอบการในไทยได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว เราซึ่งเป็นนักลงทุนไทยและเชื่อมั่นใน ศักยภาพและประสบการณ์จึงพร้อมที่จะเข้ามาร่วมแข่งขันในธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ด้วย"นายเอกยุทธกล่าว
**บอร์ดASLเลื่อนขายเอเพกซ์
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมาคณะกรรมการบล.แอ๊ดคินซันได้มีการประชุมประจำเดือน ซึ่งนายสดาวุธ เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหารได้แจ้งให้กับคณะกรรมการได้รับทราบว่าจะเลื่อนการเสนอขายใบอนุญาตของบล.เอเพกซ์ไปก่อน เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นในขณะนี้ไม่เอื้ออำนวย ประกอบกับมีปัจจัยทางด้านการเมือง ดังนั้นจึงเกรงว่าถ้าเสนอขายจะได้รับราคาที่ต่ำกว่าคณะกรรมการบริษัทได้เคยกำหนดไว้ในระดับประมาณ 400-500 ล้านบาท
นอกจากนี้บล.แอ๊ดคินซันได้แจ้งให้พนักงานของบริษัทได้รับทราบว่าจะมีการปิดสาขาเพิ่ม 3 แห่งซึ่งประกอบด้วยสาขาที่ศรีราชา,สาขาลำพูนและสาขาชัยนาท และมีแนวโน้มที่จะปิดสาขาเพิ่มขึ้นอีก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินผลการดำเนินงานของแต่ละสาขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาได้มีกระแสข่าวว่ามีผู้ที่สนใจที่จะซื้อใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเพกซ์ หลายรายทั้งนักลงทุนในประเทศที่เป็นกลุ่มคนและสถาบันการเงิน รวมถึงสถาบันการเงินต่างประเทศ ซึ่งในกระแสข่าวบอกว่ากลุ่มนักลงทุนในประเทศที่สนใจหนึ่งในนั้นคือกลุ่มของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ที่ได้ส่งตัวแทนเข้าเจรจากับผู้บริหารของบล.แอ๊ดคินซัน จำกัด(มหาชน)หรือ ASLซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบล.เอเพกซ์แล้ว แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้
ทั้งนี้นายเอกยุทธถือได้ว่านักลงทุนรายใหญ่ที่เปิดพอร์ตซื้อขายกับโบรกเกอร์หลายแห่ง ซึ่งในอดีตก็เคยเปิดพอร์ตกับบล.เอเพกซ์ในสมัยที่นายชาญชัย กุลถาวรากร ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บล.เอเพกซ์ ดังนั้นจึงถือได้ว่าทั้ง 2 คนมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานานแล้ว
แต่ต่อมานายชาญชัยถูกกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบล.แอ๊ดคินซันบีบให้ออก ดังนั้นนายชาญชัยจึงได้ไปรวบรวมกลุ่มเพื่อนฝูงไปซื้อบริษัทหลักทรัพย์และตั้งเป็นบล.ทีเอสอีซีในปัจจุบันนี้
"เหตุผลที่ใบอนุญาตของบล.เอเพกซ์ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะปัจจุบันนี้เหลือเพียงใบอนุญาตนี้เพียงใบเดียวที่จะเปิดขายให้กับกลุ่มนักลงทุนที่สนใจ"แหล่งข่าวกล่าว
นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานกรรมการบริษัทในเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป เปิดเผยว่า กระแสที่ระบุว่าตนได้ เข้าไปเจรจาเพื่อขอซื้อใบอนุญาตของบล.เอเพกซ์ว่า ยอมรับที่ผ่านมาได้มีการส่งตัวแทนเข้าไปติดต่อเพื่อซื้อใบอนุญาตจริง ซึ่งได้มีการติดต่อซื้อบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งทั้งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และที่ยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการเข้าไปผู้ถือหุ้นใหญ่หรือซื้อใบไลเซ่นต์ของบริษัท หลักทรัพย์แห่งใดแห่งหนึ่งภายในปีนี้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้มีการเจรจาเพื่อขอซื้อใบอนุญาตของบล. เอเพกซ์ จำกัด จากบล. แอ๊ดคินซัน ซึ่งเบื้องต้นราคาที่บล.แอ๊ดคินซันเสนขายอยู่ที่ 500-600 ล้านบาท ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นราคาที่แพงเกิน ไปซึ่งหากอยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านบาทถือว่าเป็นระดับราคาที่น่าสนใจ ส่วนใบไลเซ่นต์ของบริษัทหลักทรัพย์ ทีเอสอีซี จำกัด หรือ TSEC ซึ่งขณะนี้ธนาคารกรุงไทยเข้าไปถือหุ้น 50% นั้นก่อนหน้านี้ก็เคยส่งตัวแทนเข้าไปเจรจาเช่นกัน แต่บล.ทีเอสอีซีเลือกที่จะให้ธนาคารกรุงไทยเข้ามาถือหุ้น
ในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการเจรจาในขณะนี้ยังไม่สามารถเปิด เผยชื่อได้เนื่องจากเป็นบริษัทจดทะเบียน โดยในส่วนดังกล่าวอาจจะไม่ใช่การเข้าไปซื้อใบไล่เซนต์ แต่จะเป็นลักษณะการเข้าไป ซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่บางราย เนื่องจากตน ต้องการจะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อให้มีอำนาจในการบริหารงาน โดย
**พร้อมเพิ่มทุน4-5พันล้าน
นายเอกยุทธกล่าวว่า หากข้อตกลงสามารถบรรลุได้ตนและกลุ่มพร้อมที่จะเพิ่มทุนในบริษัทหลักทรัพย์ดังกล่าวทันที 4,000-5,000 ล้านบาทเพื่อเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันและพร้อมขยายฐานธุรกิจอย่างเต็มที่
"ถ้าราคาใบไล่เซนต์เหลือซัก 300-400 ล้านบาทเราสนใจทันที ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจาตกลงกันอยู่ ซึ่งหากสำเร็จ เราจะเพิ่มทุนให้ทันที 4,000-5,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันโดยเฉพาะกลับกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ และที่สำคัญกองทุนของผมและเพื่อนที่ลงทุนในต่างประเทศรวมกว่า 1,000 ล้านเหรียญจะได้เข้ามาใช้บริการทำให้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ที่อื่น"นายเอกยุทธกล่าว
สำหรับเม็ดเงินของส่วนและกลุ่มเพื่อนกว่า 1,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนในต่างประเทศรวมถึงลงทุนในประเทศผ่านบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆพร้อมที่จะกลับเข้ามาใช้บริการบริษัทหลักทรัพย์ของตนที่เป็นเจ้าของทันที ซึ่งจะทำให้เงินที่จะต้องเสียเป็นค่าธรรมเนียมให้กับบริษัทหลักทรัพย์รายอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะจากสิงคโปร์ไหลเข้ามาในบริษัทหลักทรัพย์ที่มีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้น
**ป้องกันทุนสิงคโปร์ยึด
นายเอกยุทธ กล่าวอีกว่า เหตุผลที่ตนเองสนใจในธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ เนื่องจากเชื่อมั่นว่าศักยภาพในการแข่งขันทั้ง ในเรื่องคุณภาพและเงินทุนของคนผู้ประกอบการไทยสามารถสู้กับต่างประเทศได้ โดยในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนรวมถึงกลุ่มทุน จากสิงคโปร์เข้ามาเป็นเจ้าของในธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมตนเองจึงอยากจะเข้ามา ร่วมแข่งขันด้วย
"การเข้ามาของกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ที่ผ่านเนื่องจากมีการเปิดรับกลุ่มทุนจากต่างประเทศภายใต้การบริหารงานของ รัฐบาลก่อนหน้านี้ จึงทำให้ผู้ประกอบการในไทยได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว เราซึ่งเป็นนักลงทุนไทยและเชื่อมั่นใน ศักยภาพและประสบการณ์จึงพร้อมที่จะเข้ามาร่วมแข่งขันในธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ด้วย"นายเอกยุทธกล่าว
**บอร์ดASLเลื่อนขายเอเพกซ์
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมาคณะกรรมการบล.แอ๊ดคินซันได้มีการประชุมประจำเดือน ซึ่งนายสดาวุธ เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหารได้แจ้งให้กับคณะกรรมการได้รับทราบว่าจะเลื่อนการเสนอขายใบอนุญาตของบล.เอเพกซ์ไปก่อน เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นในขณะนี้ไม่เอื้ออำนวย ประกอบกับมีปัจจัยทางด้านการเมือง ดังนั้นจึงเกรงว่าถ้าเสนอขายจะได้รับราคาที่ต่ำกว่าคณะกรรมการบริษัทได้เคยกำหนดไว้ในระดับประมาณ 400-500 ล้านบาท
นอกจากนี้บล.แอ๊ดคินซันได้แจ้งให้พนักงานของบริษัทได้รับทราบว่าจะมีการปิดสาขาเพิ่ม 3 แห่งซึ่งประกอบด้วยสาขาที่ศรีราชา,สาขาลำพูนและสาขาชัยนาท และมีแนวโน้มที่จะปิดสาขาเพิ่มขึ้นอีก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินผลการดำเนินงานของแต่ละสาขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง