โดย มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ผมได้ติดตามข่าวเรื่องที่ชาวไทยจะได้มีโอกาสซื้อหุ้นเป็นเจ้าของหุ้นส่วนของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ทีมหงส์แดงขวัญใจชาวไทย ผมเองโดยส่วนตัว ชอบการ “คิดใหม่ทำใหม่” คือการคิดที่สร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม อย่างไรก็ตาม ผมขอเสนอความคิดเห็น ดังต่อไปนี้
1. มองในด้านที่ดี การซื้อหุ้น อาจจะนำไปสู่การพัฒนาการกีฬาของประเทศ กระตุ้นให้คนไทยสนใจกีฬามากขึ้น พัฒนาความสามารถด้านกีฬา เป้าหมายสูงสุด น่าจะเป็นทำให้กีฬานั้น ปลูกฝังน้ำใจนักกีฬาที่ดีให้กับคนที่เกี่ยวข้องทุกคน ทั้งนักกีฬาและผู้ชม
โดยน้ำใจนักกีฬาที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง คงหมายถึง ความมานะ อดทน มุ่งมั่น รวมถึงความรู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย ผมเคยเห็นหน้าปกนิตยสารด้านเศรษฐศาสตร์ ขึ้นรูปไมเคิล จอร์แดน บนหน้าปก และตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า THINK about how much Michael has pumped into the economy?
ความตื่นตัวในการกีฬา ช่วยเพิ่มการจ้างงานในสังคมไทย ช่วยการท่องเที่ยว ได้ ช่วยการค้าขายรอบๆ สนามกีฬา ตลอดจนธุรกิจ ผ่านการโฆษณามากมาย และที่สำคัญที่สุด กีฬาช่วยสร้างกำลังใจ ปลูกฝังน้ำใจนักกีฬาให้กับผู้ชมได้ ถ้าเราพัฒนาการกีฬาได้เป็นอย่างดี
2. ในโลกเปิดที่มีการแข่งขันเสรี ผมเชื่อว่า เราต้องทำรายการประเภท win-win ผมเชื่อว่า ไม่มีใครเป็นหมูให้อีกฝ่ายเชือด เราอาจจะหวังผลในด้านดี ว่าจะนำดารา เช่น โอเว่น มาโฆษณาสินค้า OTOP เป็นต้น แต่ก็พึงคิดถึงเงื่อนไข และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้กับสโมสร และดาราฟุตบอล ด้วย
โดยทั่วไป ผมเชื่อว่า การที่เราจะเป็นผู้ที่ซื้อหุ้นได้สำเร็จ ความท้าทายก็คือ เราต้องให้เงื่อนไขที่แข่งขันกันได้มากที่สุด ทั้งด้านเงินลงทุน ตลอดจนผลประโยชน์ และการพึ่งพากันในอนาคต เงื่อนไขต่าง ๆ เหล่านี้ จึงควรวิเคราะห์ให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น และประเมินตนเองให้แน่ใจ ว่าเราเองก็พร้อมจะแข่งขันได้ ในการเข้าไปถือหุ้นส่วนลักษณะนี้ เพื่อให้การลงทุนครั้งนี้ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ในระยะยาว
3. สร้างความมั่นใจในการรักษามูลค่าของกิจการ ตามหลักของธุรกิจทั่วไป ผู้เป็นหุ้นส่วนในกิจการที่ประสบความสำเร็จ จะต้องมี “คุณค่า (Value)” สำหรับธุรกิจนั้น ๆ เสมอ มิเช่นนั้น จะเป็นการยาก ที่จะรักษาเสถียรภาพ และการเติบโตของกิจการ ตลอดจนบุคลากรต่าง ๆ ให้อยู่กับกิจการได้ในระยะยาว
กิจการประเภทสโมสรนักฟุตบอล ดูจะมีลักษณะคล้าย ๆ กิจการด้านบันเทิง ถึงมีมูลค่าของกิจการผูกอยู่กับดาราสำคัญ เมื่อลงทุน เราคงต้องดูแลเงื่อนไขผูกพันดาราเหล่านั้นอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาถึงความผูกพันที่จะมีต่อกิจการนั้น ๆ ในระยะยาว หลังจากที่ได้ลงทุนไป
4. การคำนึงถึงเรื่องบรรษัทภิบาล โดยหลักการ เมื่อเรามีโอกาสถือหุ้น 30% ในสโมสร เราคงมีฐานะเทียบเท่ากับผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่ง โดยมีผู้ถือหุ้นอื่นๆ ในสโมสรอยู่ด้วย การทำรายการใด ๆ ระหว่างประเทศไทยและสโมสร คงต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส และเป็นธรรมต่อกันและกัน เช่น การใช้โอเว่นโฆษณา OTOP อาจใช้ฟรี ๆ ไม่ได้ต้องมีค่าใช้จ่ายดาราเท่าไร และค่าใช้จ่ายต่อสโมสรเท่าไร จะต้องกำหนดให้เป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามหลักธรรมภิบาลสากลด้วย
ผมเสนอแง่คิดเหล่านี้ โดยเชื่อว่า ทุกเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นเรื่องท้าทาย ที่ไม่เกินความสามารถที่เราจะช่วยกันคิด และทำ ด้วยความรอบคอบ เพื่อประโยชน์สูงสุดของส่วนรวมครับ
ผมได้ติดตามข่าวเรื่องที่ชาวไทยจะได้มีโอกาสซื้อหุ้นเป็นเจ้าของหุ้นส่วนของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ทีมหงส์แดงขวัญใจชาวไทย ผมเองโดยส่วนตัว ชอบการ “คิดใหม่ทำใหม่” คือการคิดที่สร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม อย่างไรก็ตาม ผมขอเสนอความคิดเห็น ดังต่อไปนี้
1. มองในด้านที่ดี การซื้อหุ้น อาจจะนำไปสู่การพัฒนาการกีฬาของประเทศ กระตุ้นให้คนไทยสนใจกีฬามากขึ้น พัฒนาความสามารถด้านกีฬา เป้าหมายสูงสุด น่าจะเป็นทำให้กีฬานั้น ปลูกฝังน้ำใจนักกีฬาที่ดีให้กับคนที่เกี่ยวข้องทุกคน ทั้งนักกีฬาและผู้ชม
โดยน้ำใจนักกีฬาที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง คงหมายถึง ความมานะ อดทน มุ่งมั่น รวมถึงความรู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย ผมเคยเห็นหน้าปกนิตยสารด้านเศรษฐศาสตร์ ขึ้นรูปไมเคิล จอร์แดน บนหน้าปก และตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า THINK about how much Michael has pumped into the economy?
ความตื่นตัวในการกีฬา ช่วยเพิ่มการจ้างงานในสังคมไทย ช่วยการท่องเที่ยว ได้ ช่วยการค้าขายรอบๆ สนามกีฬา ตลอดจนธุรกิจ ผ่านการโฆษณามากมาย และที่สำคัญที่สุด กีฬาช่วยสร้างกำลังใจ ปลูกฝังน้ำใจนักกีฬาให้กับผู้ชมได้ ถ้าเราพัฒนาการกีฬาได้เป็นอย่างดี
2. ในโลกเปิดที่มีการแข่งขันเสรี ผมเชื่อว่า เราต้องทำรายการประเภท win-win ผมเชื่อว่า ไม่มีใครเป็นหมูให้อีกฝ่ายเชือด เราอาจจะหวังผลในด้านดี ว่าจะนำดารา เช่น โอเว่น มาโฆษณาสินค้า OTOP เป็นต้น แต่ก็พึงคิดถึงเงื่อนไข และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้กับสโมสร และดาราฟุตบอล ด้วย
โดยทั่วไป ผมเชื่อว่า การที่เราจะเป็นผู้ที่ซื้อหุ้นได้สำเร็จ ความท้าทายก็คือ เราต้องให้เงื่อนไขที่แข่งขันกันได้มากที่สุด ทั้งด้านเงินลงทุน ตลอดจนผลประโยชน์ และการพึ่งพากันในอนาคต เงื่อนไขต่าง ๆ เหล่านี้ จึงควรวิเคราะห์ให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น และประเมินตนเองให้แน่ใจ ว่าเราเองก็พร้อมจะแข่งขันได้ ในการเข้าไปถือหุ้นส่วนลักษณะนี้ เพื่อให้การลงทุนครั้งนี้ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ในระยะยาว
3. สร้างความมั่นใจในการรักษามูลค่าของกิจการ ตามหลักของธุรกิจทั่วไป ผู้เป็นหุ้นส่วนในกิจการที่ประสบความสำเร็จ จะต้องมี “คุณค่า (Value)” สำหรับธุรกิจนั้น ๆ เสมอ มิเช่นนั้น จะเป็นการยาก ที่จะรักษาเสถียรภาพ และการเติบโตของกิจการ ตลอดจนบุคลากรต่าง ๆ ให้อยู่กับกิจการได้ในระยะยาว
กิจการประเภทสโมสรนักฟุตบอล ดูจะมีลักษณะคล้าย ๆ กิจการด้านบันเทิง ถึงมีมูลค่าของกิจการผูกอยู่กับดาราสำคัญ เมื่อลงทุน เราคงต้องดูแลเงื่อนไขผูกพันดาราเหล่านั้นอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาถึงความผูกพันที่จะมีต่อกิจการนั้น ๆ ในระยะยาว หลังจากที่ได้ลงทุนไป
4. การคำนึงถึงเรื่องบรรษัทภิบาล โดยหลักการ เมื่อเรามีโอกาสถือหุ้น 30% ในสโมสร เราคงมีฐานะเทียบเท่ากับผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่ง โดยมีผู้ถือหุ้นอื่นๆ ในสโมสรอยู่ด้วย การทำรายการใด ๆ ระหว่างประเทศไทยและสโมสร คงต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส และเป็นธรรมต่อกันและกัน เช่น การใช้โอเว่นโฆษณา OTOP อาจใช้ฟรี ๆ ไม่ได้ต้องมีค่าใช้จ่ายดาราเท่าไร และค่าใช้จ่ายต่อสโมสรเท่าไร จะต้องกำหนดให้เป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามหลักธรรมภิบาลสากลด้วย
ผมเสนอแง่คิดเหล่านี้ โดยเชื่อว่า ทุกเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นเรื่องท้าทาย ที่ไม่เกินความสามารถที่เราจะช่วยกันคิด และทำ ด้วยความรอบคอบ เพื่อประโยชน์สูงสุดของส่วนรวมครับ