สก็อตแลนด์ สร้างเซอร์ไพรส์เอาชนะ เดนมาร์ก 4-2 ด้วย 2 ประตูทดเจ็บของ คีแรน เทียร์นีย์ กับ เคนนี แม็คลีน เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2026 ขณะที่ สเปน ตีตั๋วเช่นกัน หลังเสมอ ตุรกี 2-2 วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน
เหตุการณ์ดราม่าท้ายเกม ที่เมืองกลาสโกว์ หมายความว่า ทีมของ สตีฟ คลาร์ก เข้าร่วม เวิลด์ คัพ ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1998
เสมอกัน 2-2 ขณะนาฬิกาผ่าน 90 นาทีเรียบร้อยแล้ว เดนมาร์ก จ่อเข้ารอบแบบอัตโนมัติ ในฐานะแชมป์กลุ่ม C กระทั่ง เทียร์นีย์ ปั่นด้วยซ้ายนอกเขตแบบคมกริบ นาที 90+3 ถัดมา แม็คลีน ตอกฝาโลงสนิท โดยชิปบอลจากกลางสนาม ข้าม แคสเปอร์ ชไมเคิล นายทวาร นาที 90+8
สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ มิดฟิลด์สังกัด นาโปลี ยิงประตูขึ้นนำ 1-0 แก่ สก็อตแลนด์ ด้วยลูกจักรยานอากาศ ถัดมา เดนมาร์ก ตามตีเสมอจากจุดโทษของ ราสมุส ฮอยจ์ลุนด์ ศูนย์หน้าเพื่อนร่วมทีมของ แม็คโทมิเนย์ นาที 57
เดนมาร์ก ตกที่นั่งลำบาก หลังเหลือผู้เล่น 10 คน นาที 61 โดย ราสมุส คริสเตียนเซน โดนใบเหลืองที่ 2 ก่อนกองเชียร์ เจ้าถิ่น ส่งเสียงเฮลั่นนาที 78 ลอว์เรนซ์ แชงค์แลนด์ ยิงจ่อๆ
อย่างไรก็ตาม เดนมาร์ก ยังไม่ละความพยายาม โดย แพทริค ดอร์กู ยิงตีเสมอ 2-2 นาที 81
เดนมาร์ก ต้องลุ้นผลจับสลากประกบคู่เพลย์ออฟ โซนยุโรป วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน กำหนดคิกออฟเดือนมีนาคม 2026
สเปน แชมป์ยูโร 2024 อยู่ในสถานการณ์เดียวกับ เดนมาร์ก ที่เมืองเซบิลล์ แต่ต้องแพ้ ตุรกี ด้วยผลต่างสกอร์อย่างน้อย 7 ประตู จึงจะเสียสิทธิ์เข้ารอบแบบอัตโนมัติ
สเปน ขึ้นนำ 1-0 ด้วยประตูของ ดานี โอลโม นาที 4 แต่ ตุรกี แซงนำจาก เดนิซ กุล นาที 42 และ ซาลิห์ ออซชาน นาที 54
ถึงกระนั้น มิเกล โอยาร์ซาบัล ยิงตีเสมอนาที 62 ยืดสถิติไร้พ่ายของพลพรรค "กระทิงดุ"
ด้าน สวิตเซอร์แลนด์ เข้ารอบ ฟุตบอลโลก สมัยที่ 6 ติดต่อกัน หลังเสมอ โคโซโว 1-1, ออสเตรีย เสมอ บอสเนีย แอนด์ เฮอร์เซโกวินา 1-1 และ เบลเยีัยม ถล่ม ลิคเทนสไตน์ ขาดลอย 7-0 กอดคอกันตีตั๋วสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา, แคนาดา และ เม็กซิโก


