ฝรั่งเศส เข้ารอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2026 หลังถล่ม ยูเครน ขาดลอย 4-0 วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน ขณะที่ โปรตุเกส ยังต้องรอต่อไป หลัง คริสเตียโน โรนัลโด กัปตันทีม ถูกไล่ออก แพ้ ไอร์แลนด์ 0-2
นอร์เวย์ ยังต้องรออีก 1 เกมเช่นกัน ถึงแม้ชนะ เอสโตเนีบ 4-1 แต่ อิตาลี ได้ประตูท้ายเกม เอาชนะ มอลโดวา 2-0 จาก จิอันลูกา มันชินี นาที 88 และ ปิโอ เอสโปซิโต นาที 90+2
ชัยชนะของ "เลอ เบลอส์" เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศแห่งความเศร้า ที่สนามปาร์ค เดส์ แปรงค์ส เริ่มเกมด้วยพิธียืนไว้อาลัย 1 นาที ครบรอบ 10 ปี เหตุการณ์วางระเบิดที่กรุงปารีส วันที่ 13 พ.ย. 2015 ผู้เสียชีวิตส่วนมากจาก 130 คน อยู่ที่บาลาคล็อง ฮอลล์ ขณะชมคอนเสิร์ต
แต่ 1 คน เสียชีวิตใกล้ สตาด เดอ ฟรองซ์ ตั้งอยู่ตอนเหนือของชานเมืองปารีส แซงต์-เดนิส ซึ่งเกิดเหตุระเบิดต่อเนื่อง ขณะที่มือระเบิดพลีชีพพยายามเข้าสนาม ระหว่างเกมอุ่นเครื่องของ ฝรั่งเศส พบ เยอรมนี โดย ดิดิเยร์ เดส์ชองป์ส ยังคงเป็นโค้ชทีมชาติจนถึงปัจจุบัน
ประตูครึ่งหลังของ คีเลียน เอ็มบัปเป นาที 55 (จุดโทษ) กับ 83, ไมเคิล โอลิเซ นาที 76 และ ฮูโก เอกิติเก นาที 88 ทำให้ "ตราไก่" การันตีจ่าฝูงกลุ่ม D โดยเก็บเพิ่มเป็น 13 แต้ม จาก 5 นัด ทิ้งห่าง ไอซ์แลนด์ กับ ยูเครน 6 แต้ม
ด้าน โปรตุเกส ต้องการชัยชนะเพื่อการันตีอันดับ 1 ของกลุ่ม F แต่ โรนัลโด้ ถูกใบแดงข้อหาตีศอกใส่ ดารา โอ'เชีย กองหลังไอร์แลนด์ ขณะตามหลัง 2 ประตู ด้วยลูกยิงของ ทรอย แพร์ร็อตต์ หมายความว่า โปรตุเกส ขยับเป็น 10 แต้ม ห่าง ไอร์แลนด์ 3 แต้ม และ ฮังการี 2 แต้ม
โปรตุเกส จะลงเล่นแมตช์สุดท้ายของรอบคัดเลือก พบ อาร์เมเนีย ที่ปอร์โต วันอาทิตย์นี้ (16 พ.ย.) ขณะที่ ฮังการี ต้อนรับ ไอร์แลนด์ ซึ่งน่าจะเป็นศึกแย่งโควตาเพลย์ออฟ (อันดับ 2)


