กีฬาฮอกกี้น้ำแข็งกลับมาบรรจุในศึกซีเกมส์อีกครั้งในรอบ 6 ปี หลังจากครั้งสุดท้ายมีการชิงชัยในซีเกมส์ปี 2019 โดยครั้งนั้นมีแข่งเฉพาะประเภททีมชายซึ่งไทยได้เหรียญทอง แต่ในปีนี้ไทยเป็นเจ้าภาพได้บรรจุทั้งประเภททีมชายและทีมหญิง โดยศึกไอซ์ฮอกกี้ซีเกมส์จะแข่งขันกันที่สนามไทยแลนด์อินเตอร์เนชั่นแนล ไอซ์ ฮอกกี้ อารีน่า พระราม 9
ทว่าก่อนแข่งขันทางสมาคมกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งแห่งประเทศไทย ได้รับเอกสารแจ้งมาว่าทีมไอซ์ฮอกกี้ชายของอินโดนีเซีย ใช้ผู้เล่นโอนสัญชาติกว่าครึ่งทีม
ม.ล.กฤษฎา เกษมสันต์ นายกสมาคมกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่หวั่นใจจริงๆก็คือการแข่งขันของประเภททีมชายที่ตอนนี้ได้ข่าวว่าอินโดนีเซีย ใช้ผู้เล่นโอนสัญชาติเกือบทั้งทีม ผู้เล่นโอนสัญชาติมาจากประเทศรัสเซียหรือประเทศในแทบๆนั้น ซึ่งถือว่าคนในพื้นที่นิยมเล่นกีฬาไอซ์ฮอกกี้มาก และไม่ใช่แค่ไทยที่หวั่นใจ พวกชาติอื่นๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนกันหมด ทำให้ไทยในฐานะเจ้าภาพ และสมาคมกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งแห่งประเทศไทย ดูแลการจัดการแข่งขันจะต้องตรวจสอบเอกสารให้ละเอียดที่สุด หากพบว่าผิดกฎก็จะแบนนักกีฬาเป็นรายคนไป โดยในเรื่องนี้ไทยมีประสบการณ์อยู่แล้ว เพราะเคยโดนชาติเจ้าภาพทำแบบนี้มา 2 ครั้ง ทั้งเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 ที่ซัปโปโร และ ซีเกมส์ 2017 ที่มาเลเซีย
ภาพรวมนั้นนักกีฬาทั้งทีมชายและทีมหญิงชุดซีเกมส์ มีประสบการณ์จากการแข่งขันเวิลด์แชมเปี้ยนชิพ และ เอเชียนเกมส์ฤดูหนาว ซึ่งทุกคนก็มีความพร้อมเป็นอย่างมากในการแข่งขันซีเกมส์ครั้งนี้ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทีมหญิงมองว่าไม่น่ามีปัญหาในการคว้าเหรียญทอง เพราะศักยภาพทีมสาวไทยดีกว่าทุกทีม
“ผมพยายามบอกนักกีฬาว่า กีฬามีแพ้ มีชนะ แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบมากที่สุดคือแพ้ เพราะฉะนั้นนักกีฬาไอซ์ฮอกกี้ทีมชาติไทยทุกคนจะเข้าใจดี ไม่ว่าจะเจอใคร หรือสถานการณ์แบบไหน ก็จะสู้ทุกคน ทีมชายในระดับเวิลด์แชมเปี้ยนชิพก็แข่งกับชาติยุโรปมาแล้ว หากในซีเกมส์ชาติคู่แข่งจะมีโอนสัญชาติเข้ามา ทีมหนุ่มๆไทยก็พร้อมสู้อยู่แล้ว และจะต้องป้องกันแชมป์ให้ได้ ส่วนทีมหญิงไม่มีเหตุผลอะไรที่สาวไทยจะไม่ได้เหรียญทอง” ม.ล.กฤษฎา กล่าว


