xs
xsm
sm
md
lg

"มูรินโญ่" คนอหังการ / เรียบเรียงโดย ธีรพัฒน์ อัครเศรณี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น (2)

หลังจากใช้วิชาครูพักลักจำจากอาจารย์เซอร์บ็อบที่โปรตุเกสมาพักใหญ่ๆ ถึงเวลาที่หนุ่มน้อยวัย 33 (ขณะนั้น) จะเดินทางสู่โลกกว้าง ออกจากกะลาใบน้อยๆของตัวเองเสียที...

ค.ศ. 1996 “ล่ามกิตติมศักดิ์” ตัดสินใจเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าตามไปเป็นผู้ช่วยให้ “ปู่บ็อบ” กับสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งสเปนอย่าง บาร์เซโลน่า หากมองย้อนกลับไปแล้วนี่คือก้าวกระโดดที่สำคัญ เพราะการตัดสินใจเดินตามเจ้านายเก่าทำให้ มูรินโญ่ ได้เรียนรู้วิธีการทำงานกับสโมสรระดับท็อปของยุโรป มีโอกาสคลุกคลีกับซูเปอร์สตาร์มากมายที่นั่น ไม่ว่าจะมาจากต่างชาติอย่าง โรนัลโด้ หรือผู้เล่นสเปนเองอย่างอันโดนี่ ซูบิซาร์เรต้า และ “เป๊ป”โจเซฟ กวาดิโอล่า

นอกจากนั้นเรื่องสำคัญคือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์การใช้ชีวิตในต่างแดน เห็นเกมลูกหนังที่มีแทคติคและสไตล์การเล่นหลากหลายขึ้น เที่ยวนี้ทักษะด้านภาษาดูจะช่วยอะไรไม่ได้เสียแล้ว เพราะทั้งเขาและเจ้านายเองต้องเรียนรู้ใหม่หมดเกี่ยวกับการสื่อสารสแปนิชของแคว้น คาตาลัน แต่ทำไงได้โอกาสสำคัญมาถึง ใครก็ต้องคว้าไว้ก่อน ที่เหลืออยู่ที่ความพยายามกับหัวใจ

ในถิ่นคัมป์นู มูรินโญ่ มีส่วนช่วยและได้เรียนรู้แทคติคกลเม็ดการคุมทีมจาก “ปู่บ็อบ” อย่างเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยวมากขึ้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าอยู่กับบาร์เซโลน่า เพียงไม่นานก็ถึงเวลาที่ มูรินโญ่ ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตอีก ครั้ง เมื่อ บ็อบบี้ ร็อบสัน ตัดสินใจย้ายไปคุมทีมเก่าในฮอลแลนด์อย่าง พีเอสวี ไอน์ดโฮเฟ่น พร้อมกับการเดินสวนทางมาอยู่บาร์ซ่าของ หลุยส์ ฟาน กัล อดีตโค้ชจอมจดบันทึกของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

เที่ยวนี้ มูรินโญ่ ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวไม่ยอมเดินตามรอยเท้าของ “ปู่บ็อบ” อีกต่อไป เขาอาจคิดว่าตนเองเรียนรู้ทุกอย่างจากยอดโค้ชชาวอังกฤษจนหมดไส้หมดพุงแล้ว หรือมองเห็นความแตกต่างเรื่องคุณภาพของลีกดัทช์กับสเปนไม่มีใครทราบแน่ชัด

แต่การเลือกทางเดินครั้งนั้นทำให้ “มู” ได้เรียนรู้จากยอดโค้ช ฟาน กัล อย่างแท้จริง แถมได้แสดงบทบาทของตนเองอย่างเด่นชัดขึ้น ด้วยบุคลิกภาพเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง ฟาน กัล ปล่อยให้ มูรินโญ่ คุมลูกทีมฝึกซ้อม แถมมอบหมายตำแหน่งให้คุมทีมบาร์เซโลน่าชุดบี ลงแข่งขันด้วย

จะเห็นได้ว่าเส้นทางของยอดกุนซือผู้นี้เหมือนจิ๊กซอว์ ที่ถูกจับวางทีละชิ้น ทีละชิ้น ประกอบกันเข้า กว่าจะมาเป็นภาพที่งามเกือบสมบูรณ์ในวันนี้ ไม่ใช่การก้าวกระโดดแบบพรวดเดียวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีม นี่คือสิ่งที่ทำให้รากฐานและความรู้ของเขาแน่นปึ้ก แถมยังได้ทำงานกับสองยอดโค้ชผู้มีสไตล์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฟาน กัล นั้นคือสุดยอดเรื่องแทคติก ส่วน บ็อบบี้ ร็อบสัน นั้นคือกุนซือจอมจิตวิทยาและชอบให้อิสระในการเล่นแก่ลูกทีม

ปี 2000 ถึงเวลาที่มูรินโญ่ จะบินเดี่ยวออกจากร่มเงาของกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ เขาตัดสินใจกลับบ้านเกิดเพื่อรับงานคุม เบนฟิก้า ต่อจากโค้ชเยอรมันอย่าง จุ๊ปป์ ไฮน์เกสส์ แต่คุมทีมได้ไม่นานก็เกิดความเปลี่ยนแปลงของฝ่ายผู้บริหาร ทำให้อนาคตของเขาไม่ชัดเจน

มูรินโญ่ ต้องเล่นบท "เซียนรู้ซ่อนกาย" ตัดใจลาไปคุมทีมเล็กๆอย่าง เลเรีย ก่อนที่เดือนมกราคมปี 2002 เขาจะได้ผงาดกลับมาคุมทีมใหญ่อย่าง เอฟซี ปอร์โต้ หลังจากนั้นทุกอย่างคือประวัติศาสตร์!!!

มูรินโญ่ เริ่มต้นงานที่ ปอร์โต้ ด้วยการสร้างทีมชุดใหญ่ของเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ด้วยการนำผู้เล่นที่มีอยู่แล้วในทีมอย่าง วิคเตอร์ บาย่า ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่, คอสตินญ่า และเดโก้ ขึ้นมาเป็นแกนหลัก แล้วไปดึง จอร์จ คอสต้า กลับมาจากสัญญายืมตัวกับชาร์ลตัน แถมยังไปเอา มานิช ซึ่งหมดสัญญากับเบนฟิก้ามา นำเปาโล เฟอร์เรร่า มาจากสโมสรเก่าของเขาอย่าง วิคตอเรีย เซตูบัล และ นูโน่ วาเลนเต้ มาจากสโมสรเก่าของเขาเช่นกันอย่าง เลเรีย

ใช้เวลา 1 ปีไม่เพียงแต่นำปอร์โต้ คว้าแชมป์ ซูเปอร์ ลีกา หรือลีกสูงสุดของโปรตุเกส แต่เป็นการคว้าแชมป์แบบเหนือชั้น ด้วยการทิ้งห่างอันดับสองอย่าง เบนฟิก้า ถึง 11 แต้ม ทำลายสถิติสูงสุดของลีกโปรตุกีสด้วยการทำถึง 86 คะแนน แถมยังคว้ายูฟ่า คัพ และโปรตุกีส คัพ มาประดับสโมสรเป็นของแถมได้อีกด้วยในฤดูกาลนั้น

ปีต่อมา “มู” พิสูจน์ความเป็น “ของแท้” ด้วยการพาปอร์โต้เบิ้ลถ้วยลีกสูงสุดของโปรตุเกส แถมด้วยตำแหน่งจ้าวยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แบบหน้าตาเฉย สรุปผลงาน 2 ปีคว้า 5 ถ้วยใหญ่ คนธรรมดาที่ไหนทำกัน!!

...ถึงเวลานั้นอาณาจักร ปอร์โต้ อันเกรียงไกร ดูจะคับแคบเกินไปสำหรับคนเก่งอย่างเขาแล้ว...

(ติดตามตอนต่อไปอังคารหน้า)
กำลังโหลดความคิดเห็น