พรรคภูมิใจไทย เนื้อหอม บ้านใหญ่ บ้านเล็กแห่ซบ ใช้คำอ้างสวยหรูเพื่อตีจากพรรคเดิม มั่นใจต่างฝ่ายต่าง Win-Win ด้านนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เผย ‘11 จุดแข็ง’ ของพรรคภูมิใจไทยที่สส.แห่ซบมั่นใจสูตร 4+4 ดันอนุทินนั่งนายกฯ อีก 1 สมัย ขณะที่จุดอ่อนฉุดคะแนนพรรคร่วงทันที ทั้ง ‘แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม-ใช้เทคโนแครต ฟอกขาว-แก้วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชาไม่สำเร็จ’ เผยไม่จำเป็นต้องทำประชามติ MOU43-44 หาก ‘อนุทิน’ เร่งให้ กมธ. MOU43-44 สรุปเสนอประกอบการตัดสินใจเลิก-ไม่เลิก แนะจับตา ‘ไชยชนก ชิดชอบ’ หลังแจ้งความคดีสินบน 40 ล้าน หากเข้าตรวจสอบในกระทรวงดีอี เจอสิ่งไม่ชอบมาพากล เผยที่นี่มีคนรวยขึ้น แจงเลือกตั้งครั้งหน้ากระสุนยังเป็นปัจจัยสำคัญ เชื่อ 3 พรรคใช้เบ็ดเสร็จ9,000-15,000 ล้านบาท!
สถานการณ์การเมืองวันนี้ ต้องยอมรับแล้วว่า ‘พรรคภูมิใจไทย’ เนื้อหอมที่สุดชนิดที่หัวกระไดไม่แห้ง บรรดาบ้านเล็ก บ้านใหญ่ ต่างก็พากันตีจากพรรคเดิม พร้อมแห่เข้ามาซบหรือมาสมัครเป็นสมาชิกภูมิใจไทย ทั้งนี้เพราะนักการเมือง มักจะมี "เซนส์" ว่าอยู่กับพรรคการเมืองไหนถึงจะมีอนาคตและจะได้รับเลือกตั้งเป็น สส. เพราะนักการเมืองทุกคนไม่มีใครอยากเป็น สส.สอบตก
ดังนั้นพวกเขาจึงพร้อมที่จะหาเหตุผลมาสนับสนุนเพื่อให้ตัวเองย้ายพรรคแบบสวย ๆ และได้เป็นสส.อีกสมัย โดยไม่มีใครจะปรามาสได้ว่าทิ้งพรรค ไม่รู้จักบุญคุณพรรคเดิมที่ให้การสนับสนุนมาตลอด
“สส.ที่ย้ายจากเพื่อไทยมาอยู่ภูมิใจไทย ก็บอกชาวบ้านรับไม่ได้ที่อดีตนายกฯ อิ๊งค์ ขายชาติ สร้างปัญหาให้เกิดความรุนแรงบริเวณชายแดน จนชาวบ้านต้องมารับกรรม ถ้ายังอยู่พรรคเดิมจะไม่เลือก ส่วน สส.บางพรรคบอกว่าชาวบ้าน และหัวคะแนน เลือกแล้วถ้าอยู่พรรคเดิมจะไม่ช่วยหาเสียงและไม่เลือก ขอให้ไปอยู่พรรคภูมิใจไทย ที่รักสถาบัน รักประชาชน และอย่าไปอยู่พรรคที่ใช้เงินสีเทาในการเลือกตั้ง”
ทั้งนี้ในแต่ละเหตุผลที่กล่าวมานั้นต้องยอมรับว่าชาวบ้านต่างให้ความสนใจกับข่าวสารบ้านเมือง ส่วนบรรดาบ้านใหญ่ มุ้งใหญ่ หรือบ้านเล็ก มุ้งย่อย ที่เรียกว่าเชี่ยวกรากทางการเมือง ว่ากันว่าการตัดสินใจย้ายพรรคหรือไม่? ไม่ใช่ยึดโยงกับผลประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก แต่คนเหล่านี้จะพินิจพิเคราะห์แล้วว่า พรรคไหน มีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาลสูงที่สุด พร้อมดีดลูกคิดรางแก้วว่าจะได้อะไรกลับคืนมาอย่างไร ซึ่งผลสรุปที่ได้ก็มักจะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตนและกลุ่มของตัวเองเป็นหลัก ผสมผสานเรื่องของประชาชนเข้ามาบ้างเช่นกัน
“โควตาหรือเก้าอี้รัฐมนตรี ยังมีความสำคัญ ยิ่งบ้านใหญ่ที่ดูแล สส.เอง และมีโอกาสที่จะเพิ่มจำนวน สส.ให้พรรค ยิ่งมีอำนาจต่อรองสูง ก็เหมือนที่บ้านใหญ่แห่เข้าไปภูมิใจไทย เรียกว่า Win-win situation พรรคได้สส.เพิ่ม ปี 2566 ภูมิไทยได้ สส.เขต 68 ปาร์ตี้ลิสต์ 3 ครั้งนี้ เชื่อมั่นมีโอกาสชนะเลือกตั้งเป็นที่ 1 ประมาณ 100 กว่ามาก ๆ และจัดตั้งรัฐบาลได้ พวกบ้านใหญ่ก็มีโอกาสเป็นรัฐมนตรี แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนจัดลำดับปาร์ตี้ลิสต์ จัดสส.เขตที่จะลง จะมีปัญหาหรือไม่ แค่เวลานี้ยินดีที่บ้านใหญ่เข้ามาร่วม มองเห็นโอกาสชนะเลือกตั้งไว้ก่อน รวมทั้งถ้าพรรคมาเป็นอันดับ 1 จริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าช่วงจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ แต่เชื่อว่าคุณเนวิน ชิดชอบ จะแก้ปัญหาได้”
สำหรับปรากฏการณ์ย้ายพรรคของบรรดาบ้านใหญ่เช่นพรรคพลังประชารัฐ ใน“กลุ่มภาคเหนือ–อีสาน” ที่เคยอยู่ในมุ้งของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็แตกไปตั้ง ‘พรรคกล้าธรรม’ ในส่วนของตระกูลรัตนเศรษฐ มุ้งนครราชสีมา และนายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาพรรค พปชร. และลูกชาย นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ก็เข้าเป็นสมาชิกตลอดชีพของพรรคภูมิใจไทยไปแล้ว
ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็น DNA ของลุงตู่ ก็ย้ายไปซบภูมิใจไทย เกือบจะหมด คงเหลือที่อยู่กับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคน่าจะไปประมาณ 3 คน ส่วนที่ย้ายไปก็มีทั้งกลุ่มนายสุชาติ ชมกลิ่น นายธนกร วังบุญคงชนะ และสส.อีกหลายคน อีกทั้งกลุ่มนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ นำทีม สส.กลุ่ม อาทิ นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู สส.บัญชีรายชื่อ นายอนุชา บูรพชัยศรี นายจุติ ไกรฤกษ์ รวมทั้งทีมสุดซอย เข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย
ส่วนพรรคเพื่อไทย เรียกว่าเลือดไหลไม่หยุด กำลังทยอยไปอยู่พรรคภูมิใจไทยโดยเฉพาะในพื้นที่อีสานตั้งแต่นครราชสีมาขึ้นไป และโซนตะวันออก ส่วนคนดัง ๆ อาทินายพงศกร อรรณนพพร อดีต สส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย นายโกศล ปัทมะ สส.นครราชสีมา นายนพดล ปัทมะ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าพรรคภูมิใจไทยมีพลังดูดที่ดีเยี่ยม พร้อมทั้งคาดการณ์กันว่าพรรคนี้มีโอกาสชนะเลือกตั้งหรือไม่?
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองที่กำลังเกิดขึ้น ระบุถึงจุดแข็ง จุดอ่อนของพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่โอกาสจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี 4+4 ซึ่งหมายความว่านายอนุทิน ไม่ใช่เป็นนายกฯ แค่ 4 เดือนแล้วยุบสภาเท่านั้น เพราะนายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย มีโอกาสชนะเลือกตั้งกลับมาเป็นนายกฯ อีก 1 สมัยได้
“การไหลเข้ามาของ สส. บ้านใหญ่ บ้านเล็ก เพราะมองกันออกว่าพรรคภูมิใจไทยและนายอนุทิน มีอะไรที่น่าสนใจทั้งที่ภูมิใจไทยเป็นพรรครองมีแค่ 71 เสียง แต่ได้เป็นนายกฯ และมีโอกาสเป็นนายกฯ ได้อีกสมัยด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ”
ปัจจัยแรก พรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคอนุรักษนิยมอันดับ 1 หากย้อนไปดูคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของนายอนุทิน แสดงถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ชัดเจน และต้องไม่ลืมว่าคนไทยรักสถาบันฯ ซึ่งในเวลานั้นมีการทำMOA กับพรรคประชาชน สถานะของพรรคเพื่อไทยที่เคยเป็นพรรครากหญ้าได้เปลี่ยนเป็นพรรคอภิสิทธิ์ชน ปัญหาอยู่ตรงที่นายทักษิณ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฯ จนต้องกลับมาติดคุกในวันนี้
เมื่อมีการพลิกขั้ว จัดตั้งรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยกลายเป็นพรรคยืน 1 ในสายอนุรักษนิยม และยังเลือกที่จะรักษาคำมั่นสัญญา 4 เดือนยุบสภาเลือกตั้ง และใน 4 เดือนก็ดึงคนมีคุณภาพมาร่วมเป็นรัฐมนตรี
ประการที่ 2 การดึงเทคโนแครต ประกอบด้วย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี, นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เข้ามาร่วมบริหารประเทศ
“การที่พรรคประชาชนไม่เอาโควตา ครม. ทำให้มีโอกาสดึงคนนอกเข้ามาทำงานในรัฐบาล ซึ่งเป็นข้อดี แต่ก็มีคนที่เชื่อในประชาธิปไตย ก็รู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่ได้เลือกตั้งมา และตั้งข้อสังเกตว่า ภูมิใจไทย ใช้เทคโนแครตบังหน้า เพราะยังมีคนของตัวเองทำอะไรหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคอร์รัปชันหรือไม่? ซึ่งถ้าภูมิใจไทย พิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้เอาเทคโนแครตเหล่านี้มาฟอกขาวก็จะเป็นผลดีกับพรรคภูมิใจไทย”
อีกทั้งถ้าภูมิใจไทย จะสามารถเกี่ยวก้อย ดึงคนเหล่านี้มาลงสมัครในนามปาร์ตี้ลิสต์พรรคได้ จะส่งผลให้พรรคได้สส.ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มขึ้น เดิมพรรคภูมิใจไทยเน้น สส.เขต และปาร์ตี้ลิสต์ได้เพียง 3 ที่นั่ง ครั้งนี้ถ้าได้ทั้ง 4 ท่านมาลงเชื่อว่าจะได้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ถึง 20 คน
ประการที่ 3 เทคโนแครตที่เข้ามาช่วยรัฐบาลอนุทิน ต่างก็ได้รับการยอมรับจากชนชั้นกลางและชนชั้นนำใน กทม.เชื่อว่าการได้ สส.พรรคอื่นที่ไหลเข้ามาและอยู่เขต กทม.เช่นของทีมนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ผสมผสานกับคะแนนนิยมในเทคโนแครต มั่นใจว่าพรรคภูมิใจไทย จะสามารถเจาะ สส.กทม.ได้แน่นอน
ประการที่ 4 นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เข้ามาในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่งพลัส โครงการพักชำระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ และสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่ออัดฉีดเงินช่วยเหลือ SMEs ฯลฯ หรือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทยอยออกมาต่อเนื่อง ล้วนกระตุ้นฐานเสียงได้ดีมากที่จะทำให้ประชาชนนึกถึงนายอนุทินและพรรคภูมิใจไทย
ประการที่ 5 การดูดทั้งบ้านใหญ่และบ้านเล็ก ล้วนเป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย พรรคภูมิใจไทย มีโอกาสเพิ่มจำนวน สส.เขต ที่เดิมได้เพียง 68 ที่นั่ง และบรรดาบ้านใหญ่บ้านเล็ก ก็มองว่านายอนุทิน จะได้เป็นนายกฯ อีกสมัยนั้นมีสูง จึงเลือกที่จะไหลเข้าภูมิใจไทย ขณะที่เพื่อไทยคะแนนตก และพรรคประชาชน เป็นพรรคกระแส ไม่ใช่พรรคบ้านใหญ่
ประการที่ 6 กรณี นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เข้าแจ้งความถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ - สแกมเมอร์ และพนันออนไลน์ ติดสินบน 40 ล้านบาท ซึ่งตำรวจได้มีการดำเนินการสอบสวนต่อไป ล้วนเป็นผลดีให้กับพรรคภูมิใจไทย ทำให้สังคมเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง อีกทั้งนายไชยชนก เป็นคนเก่ง ฉลาดเข้าไปนั่งในกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแล้ว หากเข้าไปตรวจสอบย้อนหลังพบว่ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลในกระทรวงฯ หากนำออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชน จะเป็นผลเสียกับอีกพรรคการเมืองหนึ่งทันที ส่วนภูมิใจไทยโกยคะแนนเสียงแน่ ว่ากันว่ามีนักการเมืองรวย เกิดขึ้นที่นี่ นายไชยชนก อาจจะสร้างปรากฏการณ์เหมือนอภิปรายไม่เอากาสิโนก็ได้
ประการที่ 7 หากนายอนุทิน จัดการแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ได้สำเร็จ ชาวบ้านไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวา สามารถทำกินได้ ล้วนแต่เกิดผลดีต่อพรรคภูมิใจไทยและนายอนุทินทั้งสิ้น
ประการที่ 8 การที่รัฐบาลจัดทำประชามติเห็นชอบ ยกเลิก mou 43-44 หรือไม่ เรื่องนี้เป็นการปลุกกระแสชาตินิยมได้ดีและฝ่ายอนุรักษนิยมหรือฝ่ายขวาจะได้เปรียบ แต่ที่จริงนายอนุทิน ไปเร่งคณะกรรมาธิการในสภาชุดต่างๆ เช่น
1.คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหา MOU 43-44
2.คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ
3.คณะกรรมาธิการการทหาร
4.คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐและกิจการชายแดน ที่เขาทำการศึกษาข้อดี ข้อเสีย และรัฐบาลก็ตัดสินใจว่าจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิกไม่ต้องให้ประชาชนทำประชามติดีที่สุด
“จริงๆ นายอนุทิน สั่งให้หน่วยงานดีเอสไอ ปปง.ตรวจสอบทางลับ เรื่องการเงินของนายฮุน เซน ที่ฝากไว้ในไทย เอาเรื่องนี้มาบีบเพื่อให้เขามาเจรจา บนพื้นฐานเพื่อการสงบศึก น่าจะเป็นทางออกที่ดี และคนไทยก็อยากรู้เช่นกัน”
ประการที่ 9 หากพรรคภูมิใจไทย สามารถเคลียร์ปัญหาเรื่องการฮั้ว สว.138 คนได้และการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินเขากระโดงได้กระจ่างชัดเจน ยิ่งจะทำให้พรรคได้รับการยอมรับมากขึ้น
ประการที่ 10 นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรีที่ขยันลงพื้นที่ และการไปแต่ละพื้นที่ ด้วยบุคลิกที่เป็นคนติดดินและการนำนโยบายและสิ่งของต่าง ๆ ไปมอบให้กับประชาชนย่อมดึงฐานเสียงให้กับพรรคมากขึ้น
ประการที่ 11 นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ทำมาตลอด 4 เดือน เชื่อว่าประชาชนต้องติดตามว่าในช่วงหาเสียงเลือกตั้งนายอนุทินและพรรค จะมีแคมเปญเด็ด ๆ อะไรเพิ่มอีก เช่นสโลแกน “นโยบาย 4 เดือนยังทำได้แค่นี้ ต่ออีก 4 ปี ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจได้ คนไทยรวย” หากนโยบายออกมาโดนใจจะได้กระแสตอบรับดีแน่ ๆ
ในส่วนจุดอ่อนของพรรคภูมิใจไทย ที่จะทำให้เกิดการเพลี่ยงพล้ำและส่งผลให้คะแนนเสียงร่วงทันทีประกอบด้วย
ประการที่แรก นายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย เข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรือการแต่งตั้งโยกย้าย กรณีฮั้วสว.-เขากระโดง’ จะถูกโจมตี เพราะทั้ง 2 เรื่องเป็นที่สนใจของสังคมส่งผลฉุดคะแนนนิยมล่วงลงทันที
ประการที่ 2 ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ถ้าแก้ไม่ได้มีความเสี่ยงที่จะทำให้กระแสตกได้เช่นกัน ดังนั้นนายอนุทิน น่าจะหาทางเปิดเรื่องของเงิน นายฮุน เซน ที่อยู่ในประเทศไทย มาเป็นเครื่องมือกดดันให้ ฮุน เซน เจรจาและทำตามเงื่อนไขสงบศึกจะเป็นผลดีที่สุด
ประการที่ 3 ดึงเทคโนแครตเข้ามาช่วยในการบริหารประเทศก่อนยุบสภา หากปล่อยให้นักการเมืองคอร์รัปชัน จะถูกครหาทันทีว่าดึงเทคโนแครตเข้ามาเพื่อบังหน้าหรือฟอกขาวให้กับนักการเมืองนั่นเอง
ประการที่ 4 ต้องเร่งคลอดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับรากหญ้า ออกมา เพราะขณะนี้ ยังไม่มีอะไรชัดเจน
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ย้ำอีกว่าในทุก ๆ จุดแข็งของพรรคภูมิใจไทย ประเมินว่า คู่แข่งขันก็คือพรรคประชาชน ซึ่งทั้งคู่จะมีโอกาสเป็นพรรคอันดับ 1 และ 2 ส่วนพรรคกล้าธรรมและพรรคเพื่อไทย น่าจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นพรรคอันดับ 3-4 ซึ่งประเมินกันว่าคะแนนพรรคอันดับ 1 และ 2 น่าจะอยู่ระหว่างพรรคอันดับ 1 ได้ 150 หรือไม่ก็ทั้ง 1และ 2 ได้คะแนนใกล้ ๆ กันคือ 120-130 ซึ่งพรรคภูมิใจไทยจะได้ทั้งจาก สส.เขต ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่ม ได้ปักธงใน กทม. ได้กระแสชาตินิยม เขตอีสานใต้ จากอีสานใต้ โคราช-อุบลฯกวาดเรียบ
นอกจากนี้การจะชนะเลือกตั้งไม่ใช่แค่กระแสความนิยมเท่านั้น ยังต้องอิงกระสุน ว่ากันว่า 3 พรรคคือภูมิใจไทย เพื่อไทย กล้าธรรม น่าจะใช้กระสุนอย่างน้อยพรรคละ 3,000-5,000 ล้านบาท และบรรดาแกนนำที่เชี่ยวชาญจะรู้ว่าใช้กระสุนแบบไหนจึงจะเข้าเป้า ถ้าเกือบเข้าใช้กระสุนเพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วคุ้มค่า เขาก็มักจะทำกัน ดังนั้นทั้ง 3 พรรคน่าจะใช้กระสุนในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ 9,000-15,000 ล้านบาท!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j