สุราษฎร์ธานี - ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ลงพื้นที่ลงตรวจสอบที่ดินชาวบ้าน อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฏร์ธานี หลังได้รับร้องเรียนว่าถูกบริษัทเอกชนฮุบที่ดิน พร้อมขับไล่ออกจากพื้นที่ภายใน 15 วัน จังหวัดเตรียมเชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมตัวแทนชาวบ้าน และตัวแทนบริษัทเอกประชุมยุติปัญหา
นายปราโมทย์ โชติมงคล ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เปิดเผยว่า จากที่ได้เดินทางตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับนายสมาน แสงสะอาด นายอำเภอคีรีรัฐนิคม พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฏร์ธานี เกี่ยวกับกรณีที่ชาวบ้าน อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฏร์ธานี จำนวนประมาณกว่า 40 ครัวเรือน ที่ได้ร้องเรียนมาเนื่องจากได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกขับไล่ที่อยู่อาศัยจากบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งได้มีหนังสือถึงชาวบ้านให้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดิน ซึ่งที่ดินผืนดังกล่าวชาวบ้านได้ปลูกพืชผลอาสิน และบ้านเรือนมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
ขณะนี้เอกชนอ้างสิทธิ์ว่าเป็นผู้ครอบครองอย่างถูกต้องโดยกฎหมาย และให้ชาวบ้านเตรียมย้ายทรัพย์สินภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้
นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบจากหลักฐาน พบว่า สาเหตุที่ชาวบ้านยังไม่ยอมย้ายออกจากผืนที่ดินดังกล่าว เนื่องจากชาวบ้านนั้นมีการจ่ายภาษีบำรุงที่ดินตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาร่วม 20 ปี แล้ว แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ใดๆ จากทางราชการ
ขณะที่ชาวบ้านอ้างว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวทางนายทุนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกเอกสารสิทธิทับที่ดินทำกินของชาวบ้านซึ่งมีการปลูกสวนยางพารา ปาล์ม และมีบ้านเรือนอยู่อาศัยมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว
นายปราโมทย์กล่าวในตอนท้ายว่า ในเร็วๆ นี้ เบื้องต้นจะเชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมตัวแทนชาวบ้าน และตัวแทนบริษัทเอกชนรายดังกล่าว มาประชุมร่วมกับจังหวัด เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงและยุติปัญหาดังกล่าว
นายปราโมทย์ โชติมงคล ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เปิดเผยว่า จากที่ได้เดินทางตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับนายสมาน แสงสะอาด นายอำเภอคีรีรัฐนิคม พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฏร์ธานี เกี่ยวกับกรณีที่ชาวบ้าน อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฏร์ธานี จำนวนประมาณกว่า 40 ครัวเรือน ที่ได้ร้องเรียนมาเนื่องจากได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกขับไล่ที่อยู่อาศัยจากบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งได้มีหนังสือถึงชาวบ้านให้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดิน ซึ่งที่ดินผืนดังกล่าวชาวบ้านได้ปลูกพืชผลอาสิน และบ้านเรือนมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
ขณะนี้เอกชนอ้างสิทธิ์ว่าเป็นผู้ครอบครองอย่างถูกต้องโดยกฎหมาย และให้ชาวบ้านเตรียมย้ายทรัพย์สินภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้
นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบจากหลักฐาน พบว่า สาเหตุที่ชาวบ้านยังไม่ยอมย้ายออกจากผืนที่ดินดังกล่าว เนื่องจากชาวบ้านนั้นมีการจ่ายภาษีบำรุงที่ดินตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาร่วม 20 ปี แล้ว แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ใดๆ จากทางราชการ
ขณะที่ชาวบ้านอ้างว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวทางนายทุนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกเอกสารสิทธิทับที่ดินทำกินของชาวบ้านซึ่งมีการปลูกสวนยางพารา ปาล์ม และมีบ้านเรือนอยู่อาศัยมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว
นายปราโมทย์กล่าวในตอนท้ายว่า ในเร็วๆ นี้ เบื้องต้นจะเชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมตัวแทนชาวบ้าน และตัวแทนบริษัทเอกชนรายดังกล่าว มาประชุมร่วมกับจังหวัด เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงและยุติปัญหาดังกล่าว