สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เคียงคู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาตลอด การขึ้นครองราชสมบัติ กว่า 70 ปี โดยมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ ที่ช่วยให้ประชาชนคนไทย มีความเป็นอยู่ที่ดี ขึ้น
โดยโครงการที่เห็นประจัก 3 โครงการหลัก ดังนี้ 1. โครงการศูนย์ศิลปาชีพ โดย“ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในพระบรมราชินูปถัมภ์” ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2519 ด้วยทรงมีพระราชดำริและพระราโชบายสอดคล้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ใน อันที่จะยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น
ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มก่อตั้งโครงการหลวงต่าง ๆ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงริเริ่มโครงการให้ราษฎรโดยเฉพาะชาวนาใน ท้องถิ่นชนบททำอาชีพเสริมโดยใช้เวลาว่างจากการ ทำนาทำไร่มาทำงานศิลปาชีพ
ทรงตระหนักถึงความสำคัญของชาวไร่ชาวนาผู้ผลิตอาหาร ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของมนุษย์ จึงทรงพระราชดำริที่จะจัดหาอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกรเหล่านี้ เพื่อให้เกษตรกรมีกำลังใจที่จะทำนาทำไร่ต่อไป สิ่งที่จะเป็นอาชีพเสริมนั้น จะต้องเป็นอาชีพที่ประกอบอยู่ที่บ้านได้ในเวลาที่ว่างจากการทำไร่ทำนา หรือแม้แต่ผู้ไม่มีดินจะเพาะปลูก ก็สามารถจะประกอบอาชีพเสริมนี้ได้ด้วยทรัพยากรธรรมชาติหรือวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นของตน ด้วยภูมิปัญญาและด้วยฝีมือของเขาเอง จึงเป็นที่มาของพระราชดำริในการนำศิลปหัตถกรรมมาเป็นอาชีพเสริมให้แก่ชาวไร่ชาวนาไทย
ที่ผ่านมา ผลงานศิลปาชีพ ฯ เป็นที่ประจักษ์ ทั้งคนในประเทศ และ ต่างประเทศ ต่างชาติ ต่างชื่นชมงานศิลปหัตถกรรมของไทย เมื่อดีไซน์เนอร์ไทย นำงานหัตถกรรมงานโอทอป ไปออกร้านในต่างประเทศ ไม่ต้องอธิบายมาก เพราะต่างชาติ รู้จัก ชื่นชอบ และเชื่อมั่น ในฝีมือด้านงานหัตถกรรมของคนไทยอยู่แล้ว
2. โครงการ “ป่ารักน้ำ” เมื่อได้ทรงพบว่า ป่าไม้ถูกทำลายลงจนเหลือน้อยลงทุกที จึงทรงริเริ่มโครงการนี้ขึ้นในภาคอีสาน โปรดเกล้าฯ ให้หาที่ดินที่รกร้างว่างเปล่า หรือป่าที่เสื่อมโทรมแล้วเพื่อนำต้นไม้ไปปลูก และให้ชาวบ้านช่วยกันดูแล โปรดให้ปลูกต้นไม้หลายจำพวกด้วยกัน คือ ไม้โตเร็ว เช่น กระถินยักษ์ ยูคาลิปตัส เพื่อให้ช่วยเป็นร่มเงาแก่ไม้เศรษฐกิจ เช่น ไม้สัก ไม้แดง ไม้เต็งรัง เป็นต้น เพื่อเป็นการชักจุงให้ราษฎรรู้จักคุณค่าของป่าไม้ และช่วยกันบำรุงรักษาต้นไม้ไว้เพื่อไม่ให้พื้นดินต้องแห้งแล้ง
และ 3. ส่งเสริมเยาวชนของชาติให้ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม ทรงเป็นผู้วางรากฐานการศึกษา ทรงส่งเสริมด้านการศึกษา ด้วยทรงตระหนักถึงความสำคัญว่า ผลของการศึกษาในวันนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคต และยังได้พระราชทานทุนการศึกษา และส่งเสริมการพัฒนาความรู้ในด้านต่าง ๆ อีกด้วย


