โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร - African Swine Fever (ASF) เป็นโรคระบาดรุนแรงในสุกรที่เกิดจากเชื้อไวรัส African swine fever virus (ASFV) พบระบาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2565 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมสุกรไทย โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดเล็กหรือขนาดกลาง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้เกษตรกรจำนวนมากต้องปิดฟาร์ม ขาดรายได้ และตกอยู่ในภาวะหนี้สิน ขณะเดียวกันผู้บริโภคต้องประสบปัญหาราคาเนื้อสุกรพุ่งสูง รวมถึงการนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อนจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงต่อโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เช่น โรคหูดับ หากมีการบริโภคเนื้อสุกรที่ปรุงไม่สุก
ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับ รางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย และทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ประจำปี 2568 กล่าวว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเป็นโรคอุบัติใหม่ ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีองค์ความรู้ เทคโนโลยีพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งเรื่องของการพัฒนาวัคซีนที่แทบเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ ดังนั้นมาตรการที่ใช้ควบคุมการระบาดของโรค ASF ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันยังทำได้เพียงการสร้าง “ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ Biosecurity” เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่เข้าหรือออกจากฟาร์ม แต่ด้วยต้นทุนการจัดการฟาร์มที่มีมูลค่าสูง จึงเป็นเรื่องยากที่ฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางจะลงทุนเพื่อหวนกลับเข้าสู่วงจรธุรกิจได้
ทีมวิจัยเร่งศึกษาสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับไวรัส ASF เทคโนโลยี จนถึงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบ โดยอาศัยฐานเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ไบโอเทค สวทช. สั่งสมมายาวนาน จนกระทั่งพัฒนา “วัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์” จาก “ไวรัสสายพันธุ์ไทย” ได้สำเร็จ รวมทั้งมีการทดสอบและประเมินประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบในสุกร ภายใต้ความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ เกษตรกร และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้าน
“ผลการศึกษาเบื้องต้นในระดับห้องปฏิบัติการชี้ว่า วัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์มีประสิทธิผลสูง สามารถป้องกันโรค ASF ได้ถึง 70–100% และมีความปลอดภัย แม้ใช้ในขนาดโดสที่สูงก็ไม่ก่อให้เกิดโรครุนแรง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนหารือกับกรมปศุสัตว์และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการทดสอบในระดับฟาร์มจริง โดยจะเริ่มทดสอบในฟาร์มขนาดเล็กภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนต้นแบบในการป้องกันโรค ASF อย่างละเอียดก่อนที่จะขยายผลในวงกว้างต่อไป”
ทั้งนี้หากผลการทดสอบวัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ในฟาร์มจริงประสบความสำเร็จ จะเป็นความหวังในการพัฒนาวัคซีนต่อสู้กับโรคระบาดในสุกร และถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยฟื้นฟูฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางให้หวนกลับมาทำอาชีพได้อีกครั้ง
“ทุกวันนี้แรงบันดาลใจสำคัญในการทำวิจัยคือ “เกษตรกรไทย” เพราะแม้พวกเขาจะเคยสูญเสียทุกอย่างจากโรค ASF แต่จากการลงพื้นที่สัมผัสได้ว่า พวกเขายังคงมีความหวังที่จะกลับมาเลี้ยงสุกรซึ่งเป็นอาชีพหลักและอาจเป็นอาชีพเดียวได้อีกครั้ง ดังนั้นถ้าวัคซีนที่พัฒนาขึ้นจะช่วยให้ฟาร์มเล็กๆ ของเกษตรกรฟื้นคืนกลับมาได้ และช่วยให้พวกเขามีรายได้และชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นความภูมิใจสูงสุดในฐานะนักวิจัย”
การวิจัยพัฒนาวัคซีน ASF นอกจากจะเป็นความหวังที่ช่วยพลิกฟื้นอุตสาหกรรมสุกรแล้ว ยังมีบทบาทในการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหาร รวมถึงลดการพึ่งพาวัคซีนจากต่างประเทศในอนาคต ที่สำคัญองค์ความรู้ เครื่องมือและแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการวิจัยครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ประเทศไทยพัฒนาวัคซีนสัตว์และยาต้านไวรัสอื่นๆ เพื่อรับมือกับโรคอุบัติใหม่ได้ด้วยตนเองในอนาคต


