xs
xsm
sm
md
lg

(มีคลิป) ข้างหลังภาพ Salvator Mundi และ Vitruvian Man ของ Leonardo

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



Leonardo di Ser Piero da Vinci คือ ชื่ออย่างเป็นทางการของ Leonardo ที่แสดงว่า เป็นบุตรของ Ser Piero แห่งหมู่บ้าน Vinci ในอิตาลี Leonardo เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน ปี 1452 และเสียชีวิตที่เมือง Amboise ในฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ปี 1519 สิริอายุ 67 ปี




นับเป็นเรื่องดีที่ Leonardo ได้เกิดมาในฐานะลูกนอกสมรส เพราะถ้าบิดามารดาได้แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย Leonardo ก็จะต้องมีอาชีพเป็นพนักงานรับรองเอกสารราชการตามบิดา ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติกันในเวลานั้น ส่วนมารดาเป็นทาสชาติพันธุ์ Caucasian มีชื่อว่า Caterina ข้อดีอีกประการหนึ่งของการเป็นลูกนอกสมรส คือ จะไม่ได้รับการศึกษาในโรงเรียนละติน (Latin School) ที่สอนวิชาความรู้แบบฉบับ คือ ทุกคนต้องเรียนวรรณกรรม ภาษา วิทยาศาสตร์ และประวัติศาสตร์เหมือนนักเรียนทั่วไป แต่ Leonardo ไม่ต้องเรียนเหมือนคนทั่วไป เพราะเป็นคนที่สามารถเรียนรู้วิชาต่างๆ ได้ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ และเป็นความรู้ที่ได้จากการสังเกตอย่างละเอียดและการคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง ความรู้ที่ Leonardo สร้างขึ้น จึงเป็นความรู้ที่ได้จากการสังเกตอันเป็นเรื่องที่แตกต่างจากความรู้ที่สอนตาม ๆ กันมาในโรงเรียนละติน และแตกต่างจากความรู้วิทยศาสตร์ของ Galileo Galilei (1564-1642) ที่ได้จากการทดลอง


Leonardo เป็นคนที่มีความประสงค์ระดับพิเศษ เพราะต้องการจะเข้าใจความสำคัญและความเป็นมาของการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการไหลของน้ำ การกระพือปีกของนก หรือการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ บนใบหน้า แล้วพยายามสร้างความเข้าใจนั้นให้ออกมาเป็นในลักษณะของภาพวาด หรือด้วยการเขียนภาพสเก็ตช์ หรือโดยการสร้างอุปกรณ์ตามจินตนาการของตนเองบ้าง

ปี 1452 เป็นปีสำคัญในประวัติศาสตร์โลก เพราะเป็นเวลาที่ Johannes Gutenberg (1400-1468) ประดิษฐ์แท่นพิมพ์ที่สามารถพิมพ์หนังสือได้เป็นจำนวนมาก สิ่งประดิษฐ์นี้จึงมีส่วนช่วยให้เด็กยากจน เช่น Leonardo มีโอกาสได้อ่านหนังสือ ทำให้มีความรู้ทัดเทียมกับคนอื่น ๆ โดยไม่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนปกติ นอกจากเหตุผลนี้แล้ว ประเทศอิตาลีในเวลานั้นก็กำลังตื่นตัวด้วยผู้คนจำนวนมากมาทำธุรกิจการค้ามากมาย สงครามกับต่างประเทศก็ไม่มี และหลายคนเริ่มมีความรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์บ้าง ดังนั้นเมื่อกองทัพของจักรวรรดิ Ottoman สามารถยึดครองนคร Constantinople ได้ เหตุการณ์นี้ทำให้ปราชญ์จำนวนมากต้องพากันอพยพหลั่งไหลเข้าอิตาลี โดยได้นำความรู้ของ Euclid, Ptolemy, Plato และ Aristotle มาด้วย ด้าน Christopher Columbus (1451-1506) และ Amerigo Vespucci (1454-1512) ก็เพิ่งพบทวีปอเมริกา เมื่อปี 1492 เมือง Florence ที่ตั้งอยู่ใกล้หมู่บ้าน Vinci จึงมีพ่อค้าวาณิช ผู้คนที่มีฐานะดีและปราชญ์เป็นจำนวนมากมาอาศัย จนสามารถรวมพลังเนรมิตยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ให้เกิดขึ้นในโลกได้

เมื่อมีอายุได้ 12 ปี Leonardo ได้ย้ายไปอาศัยอยู่กับบิดาที่เมือง Florence เพราะที่นั่นมีช่างแกะสลักไม้ ช่างทอผ้าไหม ศิลปิน จิตรกร ช่างทอง นายธนาคาร และมหาวิทยาลัยที่สอนความรู้ของปราชญ์กรีก อีกทั้งมีมหาวิหาร Florence ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานั้นด้วย การผสมผสานความคิดระหว่างช่างต่าง ๆ เช่น ช่างทอผ้ากับช่างทองก็ได้ทำให้เกิดแฟชั่นเสื้อผ้าที่มีมูลค่าเพิ่ม การบูรณาการความคิดและความรู้ของศิลปินกับสถาปนิกในเทคนิค perspective ก็ทำให้ภาพที่วาดเป็นภาพที่เห็นมีมิติด้านลึก ด้วยเหตุนี้วัฒนธรรมด้านการทำงานของชาว Florence ในเวลานั้น จึงเป็นแรงดลใจให้ Leonardo สนใจนำวิทยาการต่าง ๆ ข้ามศาสตร์มาบูรณาการหลายเรื่อง

เมื่อ Leonardo มีอายุได้ 14 ปี บิดาได้หางานให้ทำ เป็นเจ้าหน้าที่ฝึกงานศิลป์กับจิตรกรชื่อดัง ซึ่งเป็นลูกค้าชื่อ Andrea del Verrocchio และได้ตัดสินใจรับ Leonardo เข้าร่วมงาน คงไม่ใช่เพราะเกรงใจบิดา แต่เพราะได้เห็น “ศักยภาพ” ในการวาดภาพของ Leonardo ซึ่งก็ได้เรียนรู้เทคนิคการวาดภาพจาก Verrocchio มาก และยังได้พัฒนาเทคนิค จนทำให้ภาพที่ Leonardo วาดมีนัยยะว่า สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วย (เช่น ยิ้มเล็กน้อย โกรธ หรือแสดงอารมณ์ ฯลฯ) ความรู้ที่ Leonardo ได้มาในเวลานั้น จึงเป็นการวางรากฐานให้ Leonardo ได้พัฒนาต่อ จนกระทั่งได้รับฉายาว่าเป็นมนุษย์ Renaissance ที่รอบรู้ในสรรพวิชาทั้งศิลป์และศาสตร์


นอกจากจะโปรดปรานการวาดภาพแล้ว Leonardo ก็ยังชอบบันทึกความคิด และจินตนาการต่าง ๆ ของตนลงในสมุดบันทึกด้วย ซึ่งมีทั้งหมด 13 เล่ม เป็นเอกสารที่หนากว่า 4,000 หน้า และมีภาพสเก็ตช์ประกอบคำบรรยายจำนวนนับหมื่นภาพ ณ วันนี้ สมุดบันทึกภาพวาดเหล่านี้ได้กระจัดกระจายไปอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น สมุดภาพ Codex Madrid I กับ II ซึ่งเป็นบันทึกงานวิทยาศาสตร์ของ Leonardo ที่ได้เรียบเรียง ในช่วงปี 1490-1499 และขณะนี้สมุดภาพอยู่ที่กรุง Madrid ในสเปน ส่วนสมุดภาพ Codex Leicester ซึ่งมีบันทึกเกี่ยวกับการไหลของน้ำ ดาราศาสตร์ และธรณีวิทยา เป็นบันทึกที่ Leonardo ได้เขียนในช่วงปี 1506-1510 และในปี 1994 มหาเศรษฐีระดับโลกชื่อ Bill Gates ได้ซื้อบันทึกนี้ไปใน ในราคา 30.8 ล้านเหรียญ

เอกสารเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Leonardo เป็นคนที่สนใจในวิทยาการหลากหลายสาขา และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สมดังที่ Leonardo ได้เคยกล่าวว่า การค้นหาความรู้ คือ วิถีชีวิตของคนที่เป็นปราชญ์ และปราชญ์ Leonardo ก็เป็นคนที่กระหายจะเข้าใจที่มาและที่ไปของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทุกเรื่อง อีกทั้งยังได้วาดภาพของเหตุการณ์ทุกเรื่องที่ตาเห็นลงในสมุดบันทึกด้วย สมุดบันทึกของ Leonardo จึงนับว่ามีค่ามาก อย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาพวาดของเขาเลย และโลกได้ยอมรับว่านี่คือมรดกทางสติปัญญาที่ Leonardo ได้ทิ้งไว้ให้มนุษย์ในเวลาต่อมาได้ศึกษาและต่อยอด

ภาพวาดที่สำคัญๆ ของ Leonardo ได้แก่

(1) Mona Lisa (1503-1506) เป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เพราะมีรอยยิ้มที่ทำให้คนดูภาพครุ่นคิดและตีความ ขณะนี้ภาพอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Louvre ในฝรั่งเศส


(2) The Last Supper (1495-1498) ขณะนี้อยู่ที่ผนังโบสถ์ Santa Maria delle Grazie ที่เมือง Milan ในอิตาลี เป็นภาพที่แสดงอารมณ์ของบรรดาสานุศิษย์ของพระเยซู ณ วินาทีที่พระองค์ทรงเปิดเผยชื่อของศิษย์ที่ทรยศต่อพระองค์

การได้เห็นภาพวาดที่ยิ่งใหญ่ มักทำให้คนดูภาพมีคำถามในใจว่า อะไรคือแรงดลใจให้จิตรกรวาดภาพเหล่านั้น เขามีเทคนิคในการวาดอย่างไร ฯลฯ พูดง่าย ๆ คือ มีอะไรอยู่ “ข้างหลังภาพ” ที่คนดูภาพควรรู้


ตัวอย่างเช่น ภาพ Virgin of the Rocks (1481-1499) ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ National Gallery ที่ London ประเทศอังกฤษ ในภาพนี้เราจะเห็นพระนางมารี (Mary) กับทารก 2 คน คนแรก คือ ทารกเยซู (คนที่ยกมือให้พร) กับภาพทารก John the Baptist (คนที่ยกมือคารวะ) ฉากเบื้องหลังเป็นภาพธรรมชาติของป่าและภูเขา แสดงบรรยากาศที่เงียบสงัด และมีเทพธิดา Uriel ประทับนั่งอยู่เบื้องหลังทารกเยซู ส่วนพระนางมารีนั้นประทับนั่งอยู่บนโขดหิน นี่คือ ภาพที่คนทั่วโลกได้เห็น ตลอดเวลา 500 ปีที่ผ่านมา


แต่เมื่อนักเทคโนโลยีของ National Galley ได้ใช้เทคโนโลยี X-ray fluorescence กับ Infrared reflectography วิเคราะห์ภาพด้วยรังสีเอกซ์และรังสีอินฟราเรด ก็ได้เห็นภาพสเก็ตช์ต้นแบบที่ Leonardo ตั้งใจจะวาด เป็นภาพพระนางมารีทรงคุกเข่า (คุกพระชงฆ์) อยู่ข้างทารกเยซู ข้อมูลนี้จึงแสดงให้เห็นว่า เวลาวาดภาพจริง Leonardo ได้เปลี่ยนแปลงภาพร่างต้นแบบไปมาก


สำหรับภาพ "Landscape Drawing for Santa Maria Della Neve" ที่ Leonardo วาดเมื่อปี 1473 และขณะนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Uffizi Gallery ในเมือง Florence ประเทศอิตาลีนั้น เป็นภาพวาดแสดงภูเขา แม่น้ำ และปราสาทที่ตั้งอยู่บนหน้าผา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Leonardo สนใจทั้งภูมิศาสตร์และธรณีวิทยา ภาพลายเส้นตรงที่บางทีเอียงซ้าย และบางครั้งก็เอียงขวา แสดงให้เห็นว่า Leonardo เป็นคนที่ถนัดการวาดภาพได้ทั้งสองมือ แทนที่จะถนัดซ้ายเพียงด้านเดียว ดังที่เคยเชื่อๆ กันมา


ขณะ Leonardo ชำแหละซากศพ ประมาณ 30 ศพ เพื่อศึกษาเส้นโลหิตในร่างกายคน เขาได้พบลิ้นกั้นเลือด (blood valve) ที่ควบคุมทิศการไหลของเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ การค้นพบนี้ได้ทำให้ Leonardo เห็นร่างกายคนเป็นเครื่องจักรกลชนิดหนึ่ง และในเวลาเดียวกัน เครื่องจักรกลก็เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ทำงานเหมือนร่างกายคนด้วย ส่วนภาพ Salvator Mundi (พระผู้ช่วยโลกให้รอด) ที่มีมูลค่า 450 ล้านดอลลาร์ ซึ่งได้ถูกนำออกประมูลขายที่ Sotheby’s ใน New York เมื่อปี 2017 นั้น ผู้ที่ซื้อภาพไป คือ มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย เป็นภาพ 1 ในประมาณ 20 ภาพ ที่ Leonardo วาดจนเสร็จเมื่อประมาณปี 1500


ในภาพ Salvator Mundi Leonardo ได้พัฒนาเทคนิคการเบลอ (blur) ขอบของภาพองค์ประกอบ เพื่อไม่ให้สีของวัตถุสองชิ้นในภาพตัดกันเป็นขอบอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการทำให้ขอบของวัตถุมีหมอกจาง ๆ เสมือนมีควันปกคลุม แล้วได้พยายามไล่สีให้ดูกลมกลืนกัน ผลที่เกิดจากเทคนิคที่เรียก sfumato (คำนี้ในภาษาอิตาเลียน แปลว่า ควัน) ได้ทำให้ภาพนี้ และภาพ Mona Lisa มีความลึก นี่จึงเป็นเทคนิคการวาดภาพ 3 มิติ ลงบนผ้าใบที่เป็น 2 มิติ ที่ Leonardo บุกเบิก

Leonardo ยังได้วาดให้พระเนตรของพระเยซูจ้องตามคนดูภาพ ขณะคนดูเคลื่อนที่ และทำให้ดูเสมือนว่าพระเยซูกำลังทรงพระสรวล ขณะพระองค์ทรงยกพระหัตถ์ขวาขึ้นประทานพร ความสามารถในการทำภาพวาด 2 มิติ ให้ดูมี 3 มิติ Leonardo ได้แสดงให้เห็นว่า วัตถุที่อยู่ไกล จะดูไม่ชัดเท่าวัตถุที่อยู่ใกล้ ความคมชัดของภาพ จึงแปรผกผันกับระยะทาง นั่นคือ ภาพในฉากหน้าจะชัด แต่เวลาอยู่ฉากหลังจะดูเสมือนว่าคนวาด ยังวาดไม่เสร็จ และ Leonardo ก็สามารถทำได้โดยเทคนิค sfumato คือ ทำให้ขอบวัตถุในภาพอยู่ในสภาพมัว ๆ ด้วยเหตุนี้พระหัตถ์ที่พระเยซูทรงประทานพร จึงอยู่ใกล้ เสมือนจะเน้นให้เห็นว่า พระองค์ทรงประทานพรให้คนที่ดูภาพโดยเฉพาะ

ส่วนลูกแก้วกลมที่พระเยซูทรงถือในพระหัตถ์ขวานั้น Leonardo ก็วาดได้กลมจริง ๆ เป็นผลึกแก้วของ Isabella d'Este ที่ภายในผลึกแก้วมีฟองอากาศเล็ก ๆ ซึ่งแสดงความเป็นผลึกจริง เพราะผลึกมักจะมีสิ่งเจือปน (inclusion) แต่ก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ภาพของเสื้อคลุมที่พระเยซูทรงสวมนั้น มิได้ดูบิดเบี้ยว เวลาคนดูมองผ่านลูกแก้วกลม เพราะได้เกิดการหักเหของแสง ซึ่งคำตอบสำหรับข้อสังเกตนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะเชื่อว่า Leonardo มีความรู้ด้านทัศนศาสตร์ดี แต่ต้องการจะให้คนดูภาพเห็นความมหัศจรรย์ของเหตุการณ์ว่า สรรพสิ่งที่พระเยซูทรงจับต้อง จะไม่มีอะไรบิดเบี้ยวไปจากความสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ถ้าใครวิพากษ์งานของ Leonardo ในประเด็นนี้ ต่อหน้า Leonardo เอง เขาก็คงให้การยิ้มที่มุมปาก แบบ Mona Lisa เป็นคำตอบ ภาพนี้จึงแสดงให้เห็นว่า Leonardo เป็นจิตรกรที่ระดับไม่ธรรมดา


ในปี 2020 พิพิธภัณฑ์ Louvre ได้ใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์ภาพ Virgin of the Rocks และพบว่า Leonardo ได้ใช้เทคนิค spolvero มาช่วยในการวาดภาพ โดยการวาดภาพร่างก่อน แล้วเจาะรูเล็ก ๆ ตามเส้นในภาพร่าง จากนั้นใช้ฝุ่นถ่านโรยตามเส้นร่างบนกระดาษ (cartoon) แล้วยกกระดาษออก ก็จะเห็นรอยจุดปรากฏเป็นเส้นร่าง เพื่อให้ผู้วาดได้ลงเส้นและสีในขั้นต่อไป

การพบนี้จึงแสดงให้เห็นว่า Leonardo ได้ใช้เทคนิคนี้ช่วยในการวาดภาพ Mona Lisa ด้วย และนั่นก็หมายความว่า โลกอาจจะมีภาพร่างของ Mona Lisa ที่ Leonardo ได้วาด เป็นภาพที่สองซ่อนอยู่ในสถานที่ใดบนโลกก็ได้ แต่ก็ยังไม่มีใครพบภาพสเก็ตช์ที่ว่านั้น


ภาพสำคัญอีกภาพหนึ่งที่โลกรู้จักดีว่าเป็นฝีมือของ Leonardo นั่นคือภาพ Vitruvian Man ที่คนทั้งโลกได้ตั้งคำถามมาเป็นเวลานานแล้วว่า Leonardo คิดอะไรอยู่ขณะวาดภาพนี้ และเขาต้องการจะสื่อสารอะไรถึงคนดูภาพ


Marcus Vitruvius Pollio เกิดเมื่อประมาณ 80 ปีก่อนคริสตกาล ได้เข้ารับราชการเป็นนายทหารแห่งกองทัพโรมัน ภายใต้การนำของจักรพรรดิ Caesar โดยมีหน้าที่ออกแบบและสร้างอาวุธสงคราม หน้าที่นี้จึงทำให้ Vitruvius ต้องเดินทางไปดินแดนไกล เช่น สเปน ฝรั่งเศส และแอฟริกา


เมื่อออกจากราชการ Vitruvius ได้แปรอาชีพไปทำงานเป็นสถาปนิกสร้างวิหารและโบสถ์ ที่เมือง Fano ในอิตาลี ประสบการณ์งานด้านนี้ ทำให้สามารถเรียบเรียงตำราสถาปัตยกรรมได้ถึง 10 เล่ม เป็นตำรา De Architectura ที่เขียนขึ้นเมื่อประมาณ 30 ปีก่อนคริสตกาล ณ เวลานั้น ยุโรปกำลังตกอยู่ในยุคมืด (Dark Age) ตำราของ Vitruvius จึงถูกโลกลืมไปจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ก็มีคนไปพบตำรานี้ที่โบสถ์แห่งหนึ่งในสวิสเซอร์แลนด์ จึงนำตำรานี้ส่งเจ้าเมือง Florence ในอิตาลี ซึ่งในเวลานั้นกำลังเป็นศูนย์กลางการฟื้นฟูยุคศิลปวิทยา และสถาปนิก Filippo Brunelleschi (1377-1446) ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสร้างโดม Duomo ของมหาวิหาร Santa Maria del Fiore ที่เมือง Florence ก็ได้ใช้ตำราของ Vitruvius ในการออกแบบสร้างโดมด้วย


หลังจากนั้นตำราของ Vitruvius ก็ได้รับการเรียบเรียงเป็นภาษาละติน เมื่อปี 1480 ให้คนยุโรปได้อ่าน และ Leonardo ก็ได้กล่าวถึงตำรานี้ว่า ได้ซื้อมาหนึ่งเล่มจากร้านขายหนังสือเก่า

สิ่งที่ทำให้ Leonardo สนใจในผลงานของ Vitruvius คือ Leonardo ชอบความคิดของ Vitruvius ที่ได้เปรียบเทียบร่างกายของมนุษย์ว่าเป็นองค์ประกอบขนาดเล็กที่มีโครงสร้างคล้ายกับโครงสร้างของโลกที่กว้างใหญ่ ดังนั้นในการออกแบบสร้างวิหาร Vitruvius จึงได้ใช้วิธีวางร่างของผู้ชายให้นอนหงายบนพื้นราบ เพราะร่างกายของคนปกติมีความสมมาตร (คือ ซ้าย-ขวา มีอะไรเหมือนกันหมด) ดังนั้นวิหารที่จะสร้างก็ต้องมีความสมมาตรด้วยเช่นกัน จากนั้นสัดส่วนต่าง ๆ ของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็จะเป็นตัวกำหนดสัดส่วนของโครงสร้างวิหารด้วย

คำว่า Vitruvian Man ตรงกับคำในภาษาอิตาเลียนว่า L'uomo vitruviano และในภาพนี้ Leonardo ได้ใช้ปากกาและหมึกวาด แสดงภาพผู้ชายเปลือย ยืนซ้อนทับกัน 2 คน โดยมีแขนและขาทั้ง 2 ข้างเหยียดตรงออกไป 2 แนว อยู่ภายในวงกลมและสี่เหลี่ยมจัตุรัส

ศิลปะชิ้นนี้ได้ครอบคลุมความรู้วิทยาศาสตร์ ศิลปะ และปรัชญา ซึ่งแสดงให้เห็นความเข้าใจของ Leonardo ในเรื่องสัดส่วนของอวัยวะมนุษย์ หลักการทางคณิตศาสตร์ (เรขาคณิต) เป็นการยืนยันว่ามนุษย์เป็นเพียงอนุจักรวาลของจักรวาลทั้งหมด

ภาพวาด Vitruvian Man ภาพนี้มีขนาด 34.3x24.5 เซนติเมตร และปัจจุบันนี้ ถูกเก็บอยู่ที่ Galleria dell’Accademia ที่ Venice ในอิตาลี เพราะกระดาษที่ใช้วาดมีความเปราะ กรอบ ถ้าได้รับแสงแดดตลอดเวลา ดังนั้นการเก็บอนุรักษ์ภาพนี้ จึงต้องกระทำอย่างระมัดระวังอย่างสุด ๆ โดยไม่นำออกสู่สายตาสาธารณะอย่างพร่ำเพรื่อ เช่น ได้ถูกนำออกแสดงเมื่อปี 2019 ซึ่งเป็นวาระครบ 500 ปีที่ Leonardo ได้จากไป เป็นต้น

ความสำคัญของภาพนี้ต่อวงการสถาปัตยกรรม คือ ความคิดของ Vitruvius ที่ว่า ร่างกายของมนุษย์สามารถจะบรรจุลงในวงกลม (คือ สวรรค์) ส่วนสี่เหลี่ยมจัตุรัส (คือ โลก) ได้อย่างลงตัว ดังนั้นวงกลมและสี่เหลี่ยมจัตุรัส จึงเป็นรูปลักษณ์หลักที่ต้องใช้ในการออกแบบสร้างวิหาร (homo ad circulum ซึ่งแปลว่า มนุษย์กับวงกลม และ homo ad quadratum ซึ่งแปลว่า มนุษย์กับจัตุรัส) และนี่ก็คือหลักการที่สถาปนิกในยุคนั้นยึดมั่นเวลาออกแบบวิหาร

ครั้นเมื่อถึงยุคของ Leonardo เขาได้วาดภาพผู้ชาย 2 คนยืนซ้อนกัน ในรูปหนึ่ง แขนทั้งสองข้างเหยียดตรงขึ้นเล็กน้อยในแนวเอียงเหนือไหล่ และขาทั้งสองข้างแยกกัน โดยปลายนิ้วมือทั้งสองข้างกับขาแตะสัมผัสวงกลม ส่วนในภาพของชายที่ถูกซ้อนทับนั้น มือทั้งสองข้างจะเหยียดออกในแนวตั้งฉากกับลำตัว โดยให้ปลายนิ้วและขาทั้งสองสัมผัสด้านสองข้างของจัตุรัส และฐานของจัตุรัสตามลำดับ ร่างกายของมนุษย์นี้จึงแสดงการเคลื่อนไหวด้วยการยืดเข้า-ออก ได้อย่างลงตัว ทั้งในโลกและในเอกภพ

ความคิดริเริ่มของ Leonardo ที่แตกต่างไปจากความคิดของ Vitruvius คือ Vitruvius ได้กำหนดให้จุดศูนย์กลางของร่างกายมนุษย์ คือ สะดือ เป็นจุดศูนย์กลางของวงกลมและสี่เหลี่ยมจัตุรัสด้วย แต่ Leonardo ได้แยกสะดือให้เป็นจุดศูนย์กลางของวงกลม และตำแหน่งของอวัยวะเพศเป็นจุดศูนย์กลางของสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำให้เท้าของผู้ชายในทั้งสองภาพอยู่บนเส้นรอบวงของวงกลม และฐานของสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้พอดี ศิลปะการวาดของ Leonardo จึงสอดคล้องกับความรู้ทางด้านกายวิภาคศาสตร์ ที่เขาได้จากการชำแหละศพ เป็นการเน้นย้ำว่า ศิลปินจำต้องมีความรู้ทางด้านกายวิภาคศาสตร์ด้วยเวลาวาดภาพ

วิถีชีวิตของ Leonardo แสดงให้เห็นว่า เขาไม่เป็นเพียงอัจฉริยะ แต่มีความเป็นมนุษย์ให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึง และเข้าใจความลึกซึ้งในจินตนาการของเขาด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครสอน และต้องเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง ประกอบกับการมีความตั้งใจที่แน่วแน่ จนทำให้ประสบความสำเร็จสูงสุด

แม้เราจะไม่มีวันทำตาม Leonardo ได้ แต่เราก็สามารถเรียนรู้บางอย่าง และเลียนแบบการทำงานของเขาได้

ชีวิตของ Leonardo da Vinci จึงเป็นชีวิตตัวอย่างที่เป็นบทเรียนให้ทุกคนได้ศึกษา

อ่านเพิ่มเติมจาก
Leonardo da Vinci” โดย Walter Isaacson จัดพิมพ์โดย Simon & Schuster เมื่อ October 17, 2017


ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์


กำลังโหลดความคิดเห็น