∞ วันที่ 1 ก.ย.แล้ว คุณๆ ตกใจกันบ้างไหมว่าทำไมเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วถึงเพียงนี้ เผลอไปแค่ช่วงอึดใจก็จะสิ้นปีแล้ว ลองนับนิ้วดู "ไซน์กระซิบ" ก็พบว่าตัวเองมานั่ง "เม้าท์ฯ" กับคุณๆ ได้ 28 เสาร์พอดิบพอดี∞
∞ สัปดาห์นี้ข่าววิทยาศาสตร์เปิดตัวกับเรื่องหนักๆ อย่าง "พลังงานนิวเคลียร์" ซึ่งผู้หลัก-ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องใน 2 กระทรวง "วิทย์-พลังงาน" เขากอดคอกันแบบดูท่าว่าจะเออออ...เอาแน่ ด้วยเหตุคุ้มทุน-ปลอดภัย และแก้ปัญหาโลกร้อน แต่ส่วนตัว "หนูไซน์ฯ" ขอเทใจให้ไบโอดีเซลจากสาหร่ายดีกว่า ก็ใครจะคาดคิดว่านอกจากเป็นเมนูแสนอร่อยบนโต๊ะอาหารแล้ว ยังให้พลังงานขับเคลื่อนกับเครื่องยนต์ได้ อีกทั้งไม่ต้องซื้อเทคโนโลยีแพงๆ จากต่างชาติ (ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้ของเต็มราคาหรือเปล่า ก็คอรัปชันหยั่งรากลึกซะขนาดนี้ อิอิ)∞
∞ ปรากฏการณ์บนฟากฟ้าก็โดดเด่นไม่แพ้กันสำหรับสัปดาห์นี้กับ "จันทรุปราคาเต็มดวง" ที่เห็นได้ทั่วโลก ส่วนคนไทยจะเห็นได้แค่ช่วงปลายปรากฏการณ์ แต่ฟ้าฝนกลับไม่เป็นใจเสียก่อนทำให้พลาดโอกาสที่จะได้เห็น "จันทร์สีเลือด" ไปเสียก่อน กระจอกข่าวที่ลงทุนนั่งรถทัวร์ไปเยือนทุ่งแถวฉะเชิงเทราด้วยคาดหวังจะได้เก็บภาพมาฝากก็ต้องนั่ง "กินแห้ว" แก้เซ็ง ขณะที่ต่างประเทศก็มีภาพสวยๆ มาอวดให้เราได้อิจฉาเล่น ∞
∞ เมื่อจันทร์เข้าสู่เงามืดของโลกทั้งดวงแล้วจะไม่มืดสนิทแต่เปลี่ยนเป็นสีส้มแดงแทน ทั้งนี้ผู้รู้ได้อธิบายไว้ว่าเป็นอย่างนั้นเพราะชั้นบรรยากาศโลกกระเจิงแสงแดดจากบริเวณขอบฟ้าให้เสปกตรัมของ "แสงสีฟ้า" กระเจิงทั่วชั้นบรรยากาศ เราจึงเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า และ "แสงสีส้ม" ก็ถูกกระเจิงออกไปโดยมีดวงจันทร์เป็นฉากรับ เราจึงเห็นสีเลือดแดงฉานทั่วดวงจันทร์ เห็นไหมว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติมีคำอธิบายได้ ไม่ใช่อาธรรพ์หรือลางร้ายแต่อย่างใดเจ้าค่า∞
∞ เรื่องของปรากฏการณ์ยังไม่จบเพราะ 6 โมงเย็นวันนี้ นักดาราศาสตร์เขาจะขึ้นเครื่องบินไปสังเกตปรากฏการณ์ฝนดาวตก "ออริกิดส์" ที่ความสูงเกือบ 14,000 เมตร ซึ่งเท่าที่เคยบันทึกมาในโลกนี้เคยมีคนเคยเห็นแค่ 3 เท่านั้น!! เป้าหมายที่ต้องลงทุนกันขนาดนี้ก็เพื่อพิสูจน์แบบจำลองคาดการณ์ฝนดาวตกว่าเกิดจากสายธารฝุ่นที่ดาวหางไคส์สทิ้งไว้เมื่อ 2,000 ปีจริงหรือไม่ อันจะนำไปสู่ความเข้าใจกำเนิดระบบสุริยะได้ดียิ่งขึ้น ...แหม..."หนูไซน์ฯ" นึกว่าดาวตกจะเป็นแค่สัญลักษณ์ของความโรแมนติกเท่านั้นนะนี่∞
∞ แค่แว่วข่าวว่าเจ้าทรวงรวงข้าวจะหยิบยกประเด็นทดลอง "จีเอ็มโอ" ระดับไร่นาให้บรรดา "ครม.ขิงแก่" ทบทวนอีกครั้ง ก็ทำเอากลุ่ม "เอ็นจีโอ" ทั้งหลายอยู่ไม่สุข ทั้งขนมะละกอไปเทประท้วง ตอกย้ำอดีตที่ไม่โสภา ทั้งสวมชุดพืชปีศาจชูป้ายค้าน จนเรื่องชะงักค้างอยู่หน้าประตูสภา แต่ใช่ว่าจะเป็นอันยุติเพราะเจ้าทรวงวิทย์เองยืนยันว่ากระทรวงเกษตรยืนเรื่องเมื่อไหร่ ก็พร้อมผลักดันอย่างแน่นอน ∞
∞ เฮ้อ...เรื่องประเด็นอยากหาความก้าวหน้าทางวิชาการก็พอเข้าใจได้ แต่นักวิจัยทั้งหลายก็ต้องเห็นอกเห็นใจชาวไร่ชาวนาที่น้ำตาตกต่อเนื่องมาชั่วอายุคนด้วย เพราะเรื่องความปลอดภัยนั้นไม่น่าห่วงเท่าปัญหาสิทธิบัตรที่ตามมา ดูอย่างประวัติศาสตร์ "ปฏิวัติเขียว" นั่นเป็นไร อ้างกันว่าเพื่อปากท้องชาวโลก สุดท้ายก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเพียงไม่กี่รายที่เติบโต ขณะที่สิ่งแวดล้อมก็โทรมลงๆ ส่วนเกษตรกรก็แทบไม่ได้ลืมตาอ้าปากอีกเลย ตอบคำถามให้ดีๆ นะเจ้าคะว่าที่ตัดสินใจไปนั้นเพื่อสังคมหรือเพื่อความมั่นคงทางอาชีพตัวเองกันแน่ ∞
∞ ถ้า "ตะเภาแก้ว-ตะเภาทอง" ได้ยินข่าวนี้จะเสียใจหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เมื่อนักวิจัยเขาคิดค้นวิธีทำ "ซุปสกัดชาละวัน" ที่ให้ "คอลลาเจน" แบบไม่ต้องเคี้ยว เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับกระดูกจรเข้เหลือทิ้งที่ชำแหระกันปีละเป็นหมื่นๆ ตัน อึ๊ย..ขนาดนักล่าแห่งหนองน้ำที่ว่าแน่มาเจอมนุษย์เป็นต้อง...จ๋อย∞
∞ ตบท้ายด้วยข่าวเบาๆ ที่เป็นประเด็นร่วมอาทิตย์แล้ว นั่นคืองานของนักวิจัยจากเมืองแมนเชสเตอร์แห่งเกาะผู้ดีซึ่งใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คำนวณความเร็วของ "ทีเร็กซ์" ว่าแท้จริงแล้วนักล่าแห่งยุคไดโนเสาร์นั้นไม่ได้เชื่องช้าอย่างที่เคยคาดกันไว้ ถ้าวิ่งแข่งกับ "เดวิด เบ็คแฮม" เป็นอันว่าราชาลูกหนังต้องโดนเขมือบอย่างแน่นอน ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเปรียบเทียบกับ "เฮียเบ็ค" หรือเป็นเพราะเคยอยู่เมืองเดียวกันเลยต้องอุ้มชูกันไว้∞
∞ ถึงตอนนี้ "ไซน์กระซิบ" คงต้องขอลา จะรีบไปติดตามพี่ๆ นักดาราศาสตร์เขาตามติดฝนดาวตกผ่านเว็บไซต์ http://aurigids.seti.org แต่ถ้าใครมีเรื่องอยาก "เมาท์" ก็กระซิบผ่านมาที่ scigossip@gmail.com เช่นเคยเจ้าค่า ∞