xs
xsm
sm
md
lg

ถอดบทเรียนคดีอุบัติเหตุ “บอส อยู่วิทยา” 2 ทนายดังชี้ศาลตัดสินบนพยานหลักฐาน ตัวเลข 177 กม./ชม. น้ำหนักอ่อน พิสูจน์ไม่แน่นอน ต้องยกระดับมาตรฐานพิสูจน์หลักฐานไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.จากกรณีคดีอุบัติเหตุที่สังคมไทยติดตามมาอย่างยาวนาน กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดเผยคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อ 22 เม.ย. 2568 ล่าสุด ทนายความบนโลกออนไลน์หลายท่าน ออกมาอธิบายคำพิพากษาและถอดบทเรียนทางกฎหมาย เพื่อให้สังคมเข้าใจสาระสำคัญของคดีนี้อย่างเป็นระบบ โดยมีจุดร่วมสำคัญคือ การย้ำว่า ศาลอาญาตัดสินคดีจาก “พยานหลักฐาน” ไม่ใช่จากกระแสสังคมหรือความรู้สึกของผู้เสพข่าว

โดยนายพิชัยรักษ์ พิมลมาศ หรือ ทนายเต๋า ชี้ว่า ประเด็นหลักของคดีไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่หลายคนคิด เพราะหัวใจอยู่ที่ “น้ำหนักพยาน” โดยเฉพาะตัวเลขความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นตัวเลขที่มีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากมาจากการคำนวณเพียงด้านเดียว และขัดแย้งกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย ในทางกฎหมายอาญา พยานลักษณะนี้ถือว่ามีน้ำหนักอ่อน ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ลงโทษบุคคลใดได้

ทั้งนี้ ยังพบว่า เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานคดีนี้ ใช้วิธีคำนวณจากกล้องวงจรปิดเป็นหลัก เนื่องจากไม่เคยมีประสบการณ์พิสูจน์คดีอุบัติเหตุด้านฟิสิกส์ความเร็วมาก่อน ประกอบกับ จนท.คนดังกล่าวมีการกลับความเห็นหลายครั้งอันอยู่บนรากฐานของความไม่เชี่ยวชาญและไม่เชื่อมั่น

ขณะเดียวกัน ศาลยังพิจารณาควบคู่กับความเป็นไปได้ในชีวิตจริง โดยพื้นที่เกิดเหตุคือซอยทองหล่อ ซึ่งเป็นถนนในเมือง มีทางแยก ซอยย่อย และยานพาหนะสัญจรตลอด แม้จะเป็นช่วงเช้ามืดก็ไม่ได้มีลักษณะเป็นถนนโล่งแบบทางด่วน ตัวเลขความเร็วระดับดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่

ทนายเต๋า ได้อธิบายถึงดุลพินิจของศาลในการชั่งน้ำหนักพยานผู้เชี่ยวชาญ โดยในคดีนี้มีความเห็นเรื่องความเร็วอยู่สองชุด คือ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่เห็นว่าความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเห็นอีกฝ่ายที่คำนวณได้ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ศาลพิจารณาแล้วเลือกเชื่อความเห็นที่มีเหตุผลสอดคล้องกัน อธิบายสภาพความเสียหายของรถและข้อเท็จจริงทางกายภาพได้มากกว่า อาทิ ความเห็นของตำรวจจราจรกลาง ผู้เชี่ยวชาญของศาล รวมถึง สายประสิทธิ์ เกิดนิยม และ Hermann Stefan ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจำลองอุบัติเหตุระดับสากล

ด้านทนายเจบี มองว่า คำพิพากษานี้สะท้อนบทเรียนเชิงระบบที่สำคัญต่อกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะมาตรฐานการพิสูจน์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ในคดีอาญา หลักฐานต้องมีความชัดเจน สม่ำเสมอ และสามารถตรวจสอบซ้ำได้ หากหลักฐานชิ้นเดียวให้ผลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ประมาณ 80 ไปจนถึง 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยไม่มีคำอธิบายที่มั่นคงเพียงพอ ศาลย่อมไม่สามารถนำมาใช้เป็นฐานในการลงโทษได้

ขณะเดียวกัน นักกฎหมายยังชี้ให้เห็นช่องว่างระหว่างคำพิพากษากับความรู้สึกของสังคม โดยย้ำว่า ศาลไม่มีหน้าที่ตัดสินเพื่อให้ใครรู้สึกสะใจ แต่มีหน้าที่เดียวคือพิจารณาตามพยานหลักฐานในสำนวน แม้สังคมจะรู้สึกคาใจ แต่หากหลักฐานยังไม่ชัด กฎหมายก็ไม่เปิดช่องให้ศาลลงโทษใคร หลักการนี้เป็นหัวใจของกฎหมายอาญาและเป็นกลไกคุ้มครองประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กหรือคดีดัง

ทนายเจบี กล่าวทิ้งท้ายว่า บทเรียนที่สังคมควรถามต่อจากคดีนี้ ไม่ใช่เพียงเหตุผลของคำพิพากษาเท่านั้น แต่คือการยกระดับระบบพิสูจน์หลักฐานของประเทศให้มีความรัดกุม ตรวจสอบได้ และไม่ขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพื่อให้ความยุติธรรมตั้งอยู่บนหลักฐานที่แข็งแรง และลดโอกาสเกิดความผิดพลาดซ้ำในอนาคต


กำลังโหลดความคิดเห็น