เมื่อวันที่ 27ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นวันแรกที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เปิดรับสมัครผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ สำหรับการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์2569
บรรยากาศการรับสมัครในหลายพื้นที่เป็นไปอย่างคึกคัก
หนึ่งในผู้สมัครที่ได้รับความสนใจ คือ นาย อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง หรือ “อาร์ตถึงแก่น” อดีตนักสื่อสารมวลชน และอินฟลูเอนเซอร์ด้านสังคมและการเมือง ซึ่งเดินทางมาสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร์ กรุงเทพมหานคร เขต 33 ครอบคลุมพื้นที่ เขตบางพลัด และเขตบางกอกน้อย (ยกเว้นแขวงศิริราช) ในนาม พรรคภูมิใจไทย โดยผลการจับสลากหมายเลขผู้สมัคร ได้หมายเลข10
"อาร์ตถึงแก่น" เปิดเผยถึงการตัดสินใจลงสนามการเมืองครั้งนี้ว่า ต้องการนำองค์ความรู้และประสบการณ์จากวิชาชีพนักสื่อสารมวลชนที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน มาทำหน้าที่เชื่อมโยงปัญหาของประชาชนในพื้นที่ สู่ภาครัฐอย่างเป็นระบบ
“บ้านเมืองเรามีคนที่คิดหลากหลาย มีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน ปัญหาในแต่ละพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน สิ่งสำคัญที่สุดของการแก้ปัญหาคือข้อมูล และข้อมูลที่แท้จริงต้องมาจากประชาชนที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในพื้นที่”
นายอรรทิตย์ฌาน กล่าวว่า หากฝ่ายบริหารประเทศขาดข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชน การแก้ไขปัญหาก็ไม่อาจเกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพได้ ขณะเดียวกัน หากภาครัฐมีนโยบายที่ดีแต่ไม่สามารถสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ ก็จะทำให้ประชาชนไม่เกิดความร่วมมือ และส่งผลต่อความสำเร็จของการบริหารประเทศในภาพรวม
“การสื่อสารเป็นหัวใจของการบริหารประเทศ ประชาชนต้องเข้าใจภาครัฐ และภาครัฐต้องเข้าถึงประชาชน เปิดพื้นที่พูดคุย รับฟังกันอย่างจริงใจ เมื่อสื่อสารกันได้ ปัญหาก็จะถูกแก้ไขได้อย่างตรงจุด”
สำหรับการตัดสินใจลงสมัครในนามพรรคภูมิใจไทย "อาร์ตถึงแก่น" ระบุว่า พรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคการเมืองที่มีแนวทางการทำงานชัดเจน และมองการพัฒนาประเทศอย่างครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้าน ความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เชื่อมโยงกัน และจำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
“การพัฒนาประเทศไม่สามารถมองเพียงมิติเดียวได้ ต้องดูครบทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพราะในทุกด้านส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และต่อภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก”
"อาร์ตถึงแก่น" กล่าวต่อว่า แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการประเทศอย่างเป็นระบบ ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเป็นฐานในการตัดสินใจ และมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ประชาชนสามารถรับรู้ได้จริง
“พรรคภูมิใจไทยมีนโยบายที่ชัดเจน มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง และมีบุคลากรที่มีคุณภาพ ได้รับการยอมรับในสังคม สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีม และประสานงานกับทุกภาคส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
เขาระบุว่า โครงสร้างการทำงานของพรรคเปิดโอกาสให้ผู้แทนในพื้นที่สามารถทำงานร่วมกับส่วนกลางได้อย่างใกล้ชิด ทำให้การสะท้อนปัญหาจากประชาชนสู่ฝ่ายนโยบายเป็นไปอย่างรวดเร็ว ลดช่องว่างระหว่างรัฐกับประชาชน และช่วยให้การบริหารงบประมาณแผ่นดินเกิดประโยชน์สูงสุด
"อาร์ตถึงแก่น" ย้ำว่า การพัฒนาประเทศอย่างครอบคลุมในทุกมิติ จะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในสายตานานาชาติ
“สุดท้ายแล้ว การแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย ผมตั้งใจจะทำหน้าที่เป็นนักสื่อสารของประชาชน เพื่อเชื่อมโยงรัฐกับประชาชนให้เข้าใจกัน และเดินหน้าพัฒนาประเทศไปด้วยกันอย่างยั่งยืน”


