“ช่อ พรรณิการ์” หอบหลักฐานขึ้น สน.ทองหล่อ แจ้งความเอาผิด4 แอกเคานต์ โพสต์บิดเบือนและคนแชร์ต่อ ยันไม่เคยบอกให้ทหารเปิดแผนการรบ
วันนี้ (22 ธ.ค.) ที่สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า เดินทางมาแจ้งความกรณีมีการเผยแพร่ข้อความบิดเบือนที่ตนไปพูดในรายการหนึ่ง ว่า อยากให้เปิดเผยแผนการรบของทหาร ซึ่งตนยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ซึ่งตนจะดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และการที่มาแจ้งความเป็นการปกป้องสิทธิของตัวเอง ปกป้องการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น โดยจะฟ้อง 4 แอกเคานต์ คือ แอกเคานต์ต้นเรื่อง คือ “เพจหมึกซึม” และบุคคลที่แชร์ต่อ
โดย นางสาวพรรณิการ์ ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยพูดข้อความ ในวันและเวลาดังกล่าว เพราะวันที่ 17 ธันวาคม 2568 วันดังกล่าวตนเองไม่ได้ไปออกรายการไหน ตนเองนั่งทำงานตลอดทั้งวัน และไม่ได้สัมภาษณ์กับใครเลย ฉะนั้น ข้อความนี้เป็นข้อมูลเท็จ และเป็นข่าวปลอม ที่จงใจให้เกิดความเสียหาย เพราะมีคนนำไปแชร์ต่ออีกหลายคน ซึ่งบุคคลที่แชร์ต่อมีทั้งนักการเมืองที่มีตำแหน่งเป็นอดีตโฆษกพรรคการเมือง แอกเคานต์ IO ทหาร และอดีตนักดนตรี ที่มีการนำไปแชร์ต่อและลงแคปชันที่บิดเบือน ด่าทอตนเอง ที่ว่า ขายชาติ
นอกจากนี้ ยังมีการนำคลิปจากรายการ ถกไม่เถียง ที่ตนเองไปออกรายการเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งวันนั้น ตนเองวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนายอนุทิน และตอนนั้นสถานการณ์ชายแดนยังไม่มีการรบระลอกใหม่และยังไม่มีการปราบปรามสแกมเมอร์อย่างจริงจัง ซึ่งคำพูดที่ถูกนำมาบิดเบือนนั้นคือช้วงที่ว่าต้องการให้ “รัฐบาลอนุทินกางแผนปราบสแกมเมอร์ และที่บอกว่า จะรบให้จบนั้น จบอย่างไร แต่ไม่ต้องบอกรายละเอียกแผนที่การรบ ไม่อยากทราบ เพราะถ้าต้องบอกละเอียดจะทำให้คู่กรณีทราบ” ซึ่งข้อความดังกล่าวถูกนำไปตัดต่อบิดเบือนคำพูดที่ตนเองพูดทันทีว่าไม่อยากทราบแต่ก็ถูกตัดต่อออกไป
นางสาวพรรณิการ์ กล่าวอีกว่า ขอให้ประชาชนไตร่ตรองว่าทำไมพรรคประชาชน ถึงจับคู่ให้เป็นอยู่ฝั่งฮุนเซน ทำไมถึงใส่ร้ายให้เป็นคนพวกขายชาติ ให้ไทยเสียเปรียบ อยากจะขอให้ประชาชนมองย้อนกลับไป ตั้งแต่พรรคก้าวไกล ที่ฮุนเซนกลัวว่าพรรคจะชนะการเลือกตั้ง จึงปล่อยเฟกนิวส์ว่า พิธาจะผลักดันแรงงานกัมพูชาออกนอกประเทศ ตนเองมองว่าเป็นการแทรกแซงการเลือกตั้งของประเทศไทยในปี 2566 ซึ่งเรื่องนั้นก็จบไป เพราะว่าพรรคก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ตนเองอยากจะสื่อว่า พรรคประชาชน เป็นคนที่ออกมาเปิดโปงเรื่อง เบน สมิธ และการที่เปิดโปงภาพถ่ายกับนักการเมืองต่างๆ แทบจะหมดประเทศที่ถ่ายรูปคู่กับฮุนเซน แต่ทำไมคนที่ออกมากลับถูกกระบวนการใส่ร้ายป้ายสีสร้างเฟกนิวส์ ตนเองจะขอความเป็นธรรมและขอให้พี่น้องประชาชนไตร่ตรองข้อมูลที่ได้รับ เพราะในระยะเวลาที่ใกล้สู่การเลือกตั้ง จะมีเฟกนิวส์ หรือ ขบวนการ IO ออกมาเรื่อยๆ
รวมถึงขอฝากไปถึง กกต. ให้เข้ามาจัดการเรื่องเฟกนิวส์ข้อมูลเท็จให้เหมือนกับการซื้อเสียง กกต.ควรจับการซื้อเสียง
เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรถึงทหารแนวหน้าหรือไม่ บอกว่า ขอพูดตรงๆ จากใจว่า ในขณะที่พี่น้องทหารแนวหน้าต้องเผชิญความเสี่ยง เหยียบกับระเบิดแทบทุกวัน ต้องเสียสละชีวิตและรอคอยอยู่ที่บ้าน มีทหารจำนวนไม่น้อยที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการสู้รบที่ผ่านมา แต่กลับยังมี “IO ทหาร” บางกลุ่มที่กระทำการเช่นนี้ ตนอยากถามว่า ได้คำนึงถึงพี่น้องทหารแนวหน้าที่พลีชีพไปหรือไม่ และสิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่นั้น คือ หน้าที่ของทหารจริงหรือไม่ / หน้าที่ของทหารที่แท้จริงซึ่งพี่น้องประชาชนทั้งประเทศชื่นชม คือ การเสียสละ ปกป้องประเทศชาติ ต้องจากครอบครัว ลูก เมีย และบ้านเรือน ไม่ใช่การปลุกปั่น สร้างความเกลียดชังให้กับพรรคการเมือง ซึ่งไม่ใช่ภารกิจของทหารแต่อย่างใด
ในฐานะที่ตนเองเป็นกรรมาธิการด้านความมั่นคง ซึ่งปฏิบัติหน้าที่มาแล้วกว่า 2 ปี ตนได้ทำงานร่วมกับทหารในทุกระดับ และพบว่า ทุกคนมีจุดยืนร่วมกัน คือ ผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีใครตั้งคำถามว่าจะต้องปกป้องประชาชนหรือไม่ เพราะทุกคนเห็นตรงกันว่าต้องปกป้อง และต้องสนับสนุนให้ทหารแนวหน้ามีกำลังรบและงบประมาณที่เพียงพอ เนื่องจากอาวุธยุทโธปกรณ์ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินในการจัดซื้อ เราไม่มีเงินนอกระบบหรือเงินผิดกฎหมายเหมือนบางฝ่าย เราทำทุกอย่างเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ รวมถึงดูแลความปลอดภัยด้านอาหารของทหารแนวหน้า
สถานการณ์ชายแดน แม้วันนี้อาจหยุดการสู้รบ แต่ในอนาคตก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดความขัดแย้งอีก ชายแดนจะปลอดภัยได้อย่างไร ขณะที่กับระเบิดยังคงมีอยู่จำนวนมาก ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการกู้ให้หมด ตนและคณะกรรมาธิการจึงพยายามผลักดันการใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบตรวจจับ เพื่อลดความเสี่ยง และลดจำนวนทหารที่ต้องออกลาดตระเวนในพื้นที่อันตราย
ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า ในทุกการให้สัมภาษณ์ ตนไม่เคยเปิดเผยข้อมูลที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ไม่เคยพูดถึงการลบข้อมูลแผนที่หรือข้อมูลอ่อนไหวใดๆ ขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับฟังข้อมูล และยืนยันว่า ไม่มีใครต้องการไปเข้าข้างฮุน เซน แต่อย่างใด
และเมื่อถามว่า การฟ้องนั้นเป็นการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นเสรี หรือไม่ นางสาวพรรณิการ์ กล่าวว่า ตนเองเป็นนักการเมืองที่ถูกด่ามากที่สุดและนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกด่า แต่ไม่เคยฟ้องใคร ยกเว้น นางสาวปารีณา ที่มากล่าวหาว่า ตนเองเป็นพวกเดียวกับที่ปาระเบิดกรุงเทพฯ ครั้งนั้นที่ฟ้องก็บอกว่าเป็นเรื่องที่รุนแรง จึงฟ้องเพื่อปกป้องสิทธิ รวมถึงครั้งนี้ก็จะเป็นการฟ้องเพื่อปกป้องสิทธิของตนเองและ ปกป้องการเลือกตั้งครั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่เป็นจริง เพราะเฟกนิวส์ครั้งนี้ไม่ใช่ฟรีสปีด ตนเองจะฟ้องหมด ไม่ว่าใครที่เป็นคนแชร์
ส่วนกรณีที่เพจของ “ดัง พันกร” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1.3 ล้านคน ได้มีการแชร์ข่าวปลอมนี้ด้วยนั้น นางสาวพรรณิการ์ ระบุว่า ได้เข้าไปคอมเมนต์ชี้แจงในเพจคุณดังแล้ว และหวังว่า ประชาชนที่เข้าไปติดตามในเพจคุณดังจะได้เห็นข้อเท็จจริง ส่วนตัวคุณดังจะว่าอย่างไรก็เป็นสิทธิของคุณดัง และยืนยันว่าตนจะไม่ฟ้องคุณดังแน่สบายใจได้


